จากข่าว น้ำตาล เดอะสตาร์ เมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้นึกย้อนไปเมื่อสามปีก่อน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับครอบครัวเราเหมือนกัน อยู่กับมันมาปีครึ่ง จนตอนนี้หายดีแล้ว จึงอยากนำเรื่องราวมาแชร์ เตือนสติคุณแม่ หรือทุก ๆ คน ว่าเราควรสังเกตุลูก หรือแม้กระทั่งตัวเราเองให้ดี อาการของโรคต่าง ๆ บางทีมันก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน จนเรามาเจอว่าอาการมันไปไกลกว่าที่เราคิดไปแล้วจุดเริ่มต้นเริ่มต้นคือไปรับลูกกลับมาจากเนอสเซอรี่ถึงบ้านประมาณหนึ่งทุ่ม ก็สังเกตเห็นลูกเดินกะเพลก เหมือนมีอะไรติดเท้า อารมณ์แบบเหมือนเราเหยียบข้าวสวยติดเท้ามา (น่าจะเคยเป็นกันเนอะ) ลองอุ้มลูกมานั่งตักมองไปที่เท้าก็ต้องตกใจที่เห็นข้อเท้าของลูกข้างซ้ายบวมมาก บวมเฉพาะจุด จุดที่บวมอยู่เยื้องไปทางด้านหน้าใต้ตาตุ่ม ลองกดดูแล้วลูกชักเท้ากลับน่าจะมีอาการเจ็บด้วย แต่ด้วยตอนนั้นลูกยังสื่อสารกับเราไม่ได้ว่าเค้าเจ็บ ในใจคิดไปต่าง ๆ นานา ข้อเท้าลูกจะบวมได้ยังไง หกล้มที่โรงเรียนหรอ? หรือแค่ยุงกัด ลูกเกา แล้วแพ้ยุง? ก็จัดแจงโทรบอกสามีว่าลูกมีอาการอย่างงี้นะ จะพาไปหาหมอดีมั้ย ก็โอเครอสามีกลับมาจากทำงานไปหาหมอกันหาหมอครั้งแรกไปโรงพยาบบาลใกล้บ้าน ตอนนั้นก็มืดมากแล้ว มุ่งตรงไปยังแผนกเด็ก เมื่อโดนเรียกชื่อก็รีบเข้าไปห้องตรวจกัน คุณหมอก็พลิกเท้าไปมาเทียบดูระหว่างสองข้าง “หมอว่าลองไปให้หมอกระดูกดูหน่อยดีกว่า” ซึ่งหมอเด็กเฉพาะทางกระดูกไม่ได้มาวันนี้ เลยได้ตรวจกับหมอกระดูกของผู้ใหญ่ ผลคือไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเป็นอะไร คุณหมอเลยให้ใส่เฝือกไว้ก่อน แล้วอีกหนึ่งอาทิตย์มาดูกันอีกที เราพ่อแม่ลูกก็กลับบ้านกันด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ และรอคอยให้หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปหาหมอครั้งที่สองกลับไปโรงพยาบาลเดิมที่ใกล้บ้านเพื่อไปดูอาการหลังจากใส่เฝือกหนึ่งอาทิตย์ คราวนี้ได้พบคุณหมอกระดูกเด็กโดยเฉพาะ คุณหมดถอดเฝือกออกแล้วดูที่เท้าลูก คุณหมอบอกกับเราด้วยโทนเสียง และสีหน้าจริงจัง “หมอว่ามันดูไม่ปกติ ดูไม่ดีเลย หมออยากให้ MRI” ใจพ่อแม่แตกสลายจากที่คิดว่าข้อเท้าที่บวมจะยุบลง แต่มันยังคงบวมอยู่ และเราปล่อยเวลาผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์โดยเปล่าประโยชน์ เราขับรถกลับบ้านด้วยความเครียด และคิดว่าจะไปทางไหนต่อดีหาหมอครั้งที่สามกลับมาตั้งหลักที่บ้านได้ไม่นาน ในคืนเดียวกันนั้นเลยก็สรุปกันว่าจะพาลูกไปหาหมอเด็กอีกโรงพยาบาลนึง คุณหมอให้แอดมิดตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ และเตรียมนัด MRI ในวันถัดไป ขั้นตอนการ MRI ในเด็กเล็ก คือเด็กจะต้องอยู่นิ่ง ๆ เพราะฉะนั้นลูกก็จะต้องโดนวางยาสลบ ภาพลูกนอนนิ่งนั้นทำเอาปวดใจ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ภาพยังคงติดตา หลังจาก MRI เสร็จเจ้าหน้าที่ก็เรียกพ่อแม่เข้าไปรับ ลูกก็โซซัดโซเซ เดินปนคลาน เนื่องจากฤทธิ์ยาสลบ จากนั้นก็ไปพักที่ห้องเพื่อรอฟังผลจากคุณหมอฟังผล MRI และผ่าตัดเอาหนองออกคุณหมอมาแจ้งผล MRI พบว่ามีหนองอยู่ในกระดูก การรักษาตอนนี้คือต้องผ่าตัดเอาหนองออก จากนั้นเอาหนองส่งเพาะเชื้อตรวจด้วย โดยจะมีคุณหมอกระดูกเด็กอีกท่านมาช่วยกันรักษา และทำการผ่าตัดให้ วันผ่าตัดลูกก็โดนวางยาสลบอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานมากลูกก็ออกมา โดยใส่เฝือกที่ขาอีกครั้ง พร้อมทั้งมีสายระบายเลือดต่อออกมาจากแผล คุณหมอกระดูกเด็กมาคุยด้วย บอกกับเราว่าหมอเอาหนองออกให้หมดแล้ว และทำความสะอาดบริเวณแผลโดยรอบเรียบร้อยดี ตอนนี้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวัณโรคกระดูก แต่โชคดีที่จุดที่เป็นไม่ได้เป็นชิ้นกระดูกที่สำคัญที่จะทำให้มีผลต่อการเดิน หรือการเจริญเติบโต ต่อไปก็รอฟังผลเพาะเชื้อ ระหว่างนี้ก็ต้องให้ยาฆ่าเชื้อผ่านทางน้ำเกลือไปด้วยฟังผลเพาะเชื้อ และเตรียมกลับบ้านคุณหมอมาเยี่ยมไข้พร้อมกับผลเพาะเชื้อที่ส่งไปตรวจ “สรุปว่าเป็นวัณโรคกระดูกค่ะคุณแม่ การรักษาก็ต้องทานยารักษาวัณโรค ทานต่อเนื่องทุกวันไม่ให้ขาด ต้องทานเวลาเดียวกันทุกวัน” เราเลือกให้ลูกทานยาเวลาสามทุ่มของทุกวัน การที่ต้องป้อนยาขม ๆ ให้เด็กหนึ่งขวบกินทุกวันมันยากเหลือเกิน แม้ว่าจะผสมน้ำหวานมากเท่าไหร่ มันก็ยังขมอยู่ดี (แอบชิมก่อนป้อน) โชคดีของเราที่ลูกกินยาไม่ยากมาก แรก ๆ ก็ต้องหลอกล่อกันสารพัด หลัง ๆ จับไซริงค์กินเองเลยเพราะความเคยชิน เช้าหลังจากได้รับยาไปลูกฉี่ออกมาเป็นสีออกส้ม คุณหมอบอกว่าแบบนี้เรียกว่าดีค่ะคุณแม่ แสดงว่าร่างกายดูดซึมยาได้ดี ส่วนแผลที่ผ่าตัดเอาหนองออกไปคุณหมอกระดูกเด็กก็นัดมาตามดูอาการสามเดือน หกเดือน หนึ่งปีตามลำดับ ทุกครั้งจะต้องเอ็กซ์เรย์ก่อนพบคุณหมอ เพื่อดูว่ากระดูกปกติมั้ย แผลเติมเต็มหรือยังไม่น่าเชื่อว่าลูกเราจะเป็นวัณโรค หาที่มาของโรคก็ไม่ได้ ก็ต้องทำใจอยู่กับมัน รักษากันสุดความสามารถ สุดท้ายแล้วโรควัณโรคไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด สามารถรักษาหายได้ ต้องมีวินัยในการกินยา ผลข้างเคียงก็คงมีบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ของลูกรู้สึกว่าเค้าจะไม่โตเลย ส่วนสูงกับน้ำหนักชะงักอยู่กับที่เป็นปี เพื่อน ๆ ลูกสูง และดูมีเนื้อมีหนังกว่าทุกคนเลย (แม่ไม่ค่อยเครียดคิดว่าเดี๋ยวก็โต แต่พ่อนี่จิตตกตลอดเวลา) ตอนนี้ลูกก็เป็นปกติไม่มีอาการอะไรเลย สดใส ร่าเริง พูดมาก การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริง ๆภาพถ่ายทั้งหมดโดย Wonderland