รูปปกโดยผู้เขียนวันนี้จะพาไปเที่ยววัดสระเกศกันครับ วัดสระเกศหรือวัดภูเขาทอง ตั้งอยู่ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายในกทม.นี้เอง ปกติได้แต่นั่งรถผ่านไปผ่านมาตอนมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้แต่ยกมือไหว้ มาคราวนี้เลยหาโอกาสไปซ่ะหน่อย เพราะอยากขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทองมานานแล้ว การเดินทางครั้งนี้มาทางเรือก็สะดวกสบายไปอีกแบบรถไม่ติดไม่เสียเวลาด้วย นั่งเรือจากต้นทางที่ท่าเรือวัดศรีบุญเรือง ไปลงตรงท่าเรือผ่านฟ้า แต่เราต้องลงต่อเรือที่ท่าเรือประตูน้ำก่อน พอลงเรือที่ท่าเรือผ่านฟ้าเดินขึ้นมาหน่อยก็เลี้ยวเข้าวัดเลยไม่ไกลมาดูประวัติของวัดสระเกศกันสักนิดนะครับ วัดสระเกศหรือที่คนเรียนกันทั่วไปว่าวัดภูเขาทอง มีชื่อเต็ม ๆ ว่าวัดสระเกศราชวรมหาวิหารเป็นวัดที่ได้รับพระราชทานยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย อยู่ใกล้ ๆ กับวัดราชนัดดาที่มีโลหะปราสาทนั้นแหละครับ มองจากรถเมล์ก็เห็นชัด วัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากตำนานเก่า ๆ ที่เราเคยได้ยินกันมาว่า แร้งวัดสระเกศและเปรตวัดสุทัศน์ คำว่าแร้งวัดสระเกศมีที่มาจากเรื่องจริงนะครับ ก็ด้วยสมัยก่อนในช่วงรัชกาลที่ 2 เกิดโรคห่าระบาดก็โรคอหิวาตกโรคนั่นเอง โรคนี้ทำให้คนเสียชีวิตกันมากนับหมื่นคน ไม่สามารถเผาศพได้ทันทางการจึงให้เอาศพคนตายมากองรวมกันที่วัดสระเกศนี้เอง แรก ๆ ก็ขุดหลุมฝัง หลัง ๆ ขุดหลุมไม่ทันก็ได้แต่เอาศพมานอนกองรวมกันเป็นอาหารของแร้ง ช่วงเวลานั้นอีแร้งนับหมื่นตัวบินเหนือวัดสระเกศกันให้ว่อน จึงเป็นที่มาของคำว่าแร้งวัดสระเกศนั้นเอง แต่ความน่าสนใจของวัดสระเกศไม่ได้มีเพียงตำนานเรื่องเล่าอีแร้งในสมัยก่อนอย่างเดียวนะครับ วัดสระเกศยังมีสิ่งที่น่าสนใจและสำคัญยิ่งของวัดนั้นคือบรมบรรพตหรือที่เรียกว่าภูเขาทองรูปภาพโดยผู้เขียนบรมบรรพตหรือภูเขาทองตามประวัติถูกสร้างขึ้นมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชดำริว่าอยากให้สร้างเป็นเจดีย์ภูเขาทองเหมือนที่สมัยอยุธยามีเจดีย์ภูเขาทองมาก่อน แต่สร้างอย่างไรก็ทรุดเพราะอยู่ติดกับคลอง จนล่วงมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงให้สร้างต่อและครั้งนี้ให้เปลี่ยนชื่อจากภูเขาทองเป็นบรมบรรพตอีกทั้งให้นำพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปประดิษฐานบนยอดของเจดีย์ด้วย แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จในหลวงรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตเสียก่อนจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลนี้นี่เองครับ ในช่วงเวลาสมัยรัชกาลที่ 5 มีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเรื่องคือมีการที่ประเทศอินเดียมีการค้นพบเจดีย์โบราณ ภายในเจดีย์พบผอบโบราณหลายใบแต่ละใบมีจารึกอักษรโบราณไว้ ภายในผอบพบกระดูกและเถ้าน่าจะเป็นของโบราณนับพันปี ลักษณะการจัดวางพบว่ามีผอบกลาง 1 ใบและมีผอบอื่นรายรอบ แต่เนื่องจากผู้ค้นพบไม่ได้นับถือศาสนาพุทธจึงได้เทเถ้าและกระดูกทุกผอบใส่รวมกันในผอบเดียว แล้วส่งไปตรวจสอบที่ประเทศอังกฤษ บริเวณเมืองกบิลพัสดุ์มีอักษรโบราณจารึกไว้ และในผอบพบนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเวลานั้นได้ตรวจสอบแล้วพบว่าน่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่โทณพราหมณ์ถวายพระเพลิงและแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ทางรัฐบาลอังกฤษจึงเล็งเห็นว่าช่วงเวลานั้นมีแต่สยามประเทศเพียงประเทศเดียวมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชน จึงได้ถวายมา ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงให้นำพระบรมสารีริกธาตุนี้ขึ้นไปบรรจุบนยอดของบรมบรรพตเจดีย์รูปภาพโดยผู้เขียนลักษณะของบรมบรรพตจะมีบันไดเวียนสองทาง บริเวณทางขึ้นจะมีก่อสวนจำลองที่เรียกว่าเขามอแลดูร่มรื่นมาก ตลอดทางขึ้นมีปฏิมากรรมจำลองรูปสัตว์ชนิดต่าง ๆ มีลิงปิดตา ปิดปาก ปิดหู ซึ่งเป็นคติธรรมอยู่ตรงทางขึ้นด้วย มองขึ้นไปอีกนิดมีรูปปั้นพระสิวลี ซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกผู้เป็นเอตทัคคะ คือ ผู้เป็นเลิศทางด้านมีลาภมาก ข้าง ๆ มีรูปปั้นช้างชูงวงด้วย มีกระต่าย มีหมู มีเสือ ขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเจอรูปปั้นเลียงผาหรือแพะไม่แน่ใจ ทางเดินขึ้นได้ง่ายไม่ชันใครเหนื่อยก็หยุดพักได้เพราะบันไดมีขนาดกว้างพอสมควรคนเดินผ่านได้ไม่กีดขวางทาง ข้างบันไดก็จะมีระฆังให้ตีบอกว่าเรามาทำบุญแล้วนะ บันไดทั้งหมดจากป้ายมี 344 ขั้น เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ พอเหนื่อย เมื่อขึ้นไปถึงอากาศสดชื่นมาก มองเห็นกรุงเทพได้ 360 องศา เลยทีเดียว ด้านบนนี้ก็จะมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ มีรูปปั้นท่านท้าวเวสสุวรรโณด้วยอยู่ตรงเจดีย์เลยนัยว่าน่าจะถวายอารักขาองค์เจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ตอนที่ขึ้นไปเค้าได้มีประเพณีห่มผ้าพระธาตุผ่านพ้นไปแล้ว เราจึงยังเห็นผ้าแดงที่ห่มองค์เจดีย์อยู่เลยครับ ผ้านี้เมื่อปลดลงทางวัดจะตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้พุทธศาสนิกชนรับไปบูชาต่อไปรูปภาพโดยผู้เขียนรูปภาพโดยผู้เขียนเที่ยวพอเพลิน ๆ เป็นที่เที่ยวอีกแห่งในกรุงเทพที่น่าไปทีเดียวครับ วัดก็แลดูสะอาดร่มรื่น มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ให้แวะไปซื้อหากาแฟทานให้พอหายเหนื่อยได้ด้วย ตอนไปก็เจอนักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งต่างชาติพอสมควร ได้เวลากลับแล้วไว้รอบหน้ามีโอกาสเดี๋ยวจะลองไปเที่ยวที่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วจะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ