วันสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย และยังถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศด้วย ได้แก่ พม่า , ลาว , กัมพูชา และเมืองเดียนเบียนฟูทางตอนเหนือของเวียดนาม รวมถึง สิบสองปันนา ในมณฑลยูนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีนด้วยประเพณีสงกรานต์ของประเทศที่กล่าวมานี้มีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ ในวันสงกรานต์จะมีการทำบุญตักบาตร ไหว้พระขอพร รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่ตนเคารพ และมีการละเล่นสาดน้ำกันในวันสงกรานต์ ช่วงเวลาของเทศกาลสงกรานต์ของแต่ละประเทศก็จะใกล้เคียงกัน นั่นคือ อยู่ในช่วงเวลาประมาณวันที่ ๑๒ – ๑๖ เมษายน ของทุกปี ซึ่งจะมีความคลาดเคลื่อนกันอยู่บ้าง เนื่องจากการคำนวณที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศในอดีตไทยเราเคยใช้ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย หรือเดือน ๑ เป็นการเริ่มต้นการนับวันขึ้นปีใหม่ หากนับตามจันทรคติจะตกอยู่ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม คล้าย ๆ กับ ตรุษจีน ของชาวจีน ซึ่งจะอยู่ประมาณ เดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์ ตามการนับวันตามจันทรคติของจีน ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนั้น จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวทั้งสิ้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงวินิจฉัยไว้ว่า การนับเดือน ๑ เริ่มจากฤดูหนาว ท้องฟ้าสว่างสดใส เปรียบเสมือนว่าเป็นเวลาเช้า จึงให้เป็นต้นปี ฤดูร้อน แดดแรง เหมือนเวลากลางวัน จึงให้เป็นกลางปี และฤดูฝนนั้น มีฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้ม เหมือนเวลากลางคืน จึงให้เป็นช่วงปลายปีหลังจากที่ไทยเราได้รับเอา จุลศักราช มาใช้ในการนับปีอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ยุคสุโขทัย จึงได้มีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาใช้ตามแบบของจุลศักราชด้วย ทำให้เรามีวันขึ้นปีใหม่อยู่ ๒ ครั้ง นั่นคือวันขึ้นปีใหม่ ครั้งที่ ๑ เป็นการนับวันแบบจันทรคติวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณเดือน มีนาคม ถือเป็นการเปลี่ยนปีนักษัตร แต่ว่ายังคงใช้ศกเดิมไปจนถึงก่อนวันเถลิงศกวันขึ้นปีใหม่ ครั้งที่ ๒ เป็นการนับวันแบบสุริยะคติ จะแบ่งเป็น ๓ วันคือวันที่ ๑ วันมหาสงกรานต์ (ประมาณวันที่ ๑๓ เมษายน) คือ วันที่พระอาทิตย์ยกออกจากราศีมีน และเคลื่อนย้ายเข้าสู่ราศีเมษวันที่ ๒ วันเนา (ประมาณวันที่ ๑๔ เมษายน) คือวันที่อยู่ระหว่างศกเดิม และศกใหม่ (เนา เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมร หมายถึง อยู่)วันที่ ๓ วันเถลิงศก (ประมาณวันที่ ๑๕ เมษายน) คือ วันเปลี่ยนศักราชถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนมานับวันขึ้นปีใหม่ในเดือน ๕ แต่การเรียกเดือนก็ไม่ได้เรียกเดือน ๕ เป็นเดือน ๑ แต่อย่างใด ยังคงใช้ตามเดิม ด้วยว่าเคยชินกับการเรียกแบบเดิมอยู่แล้วนั่นเองการคำนวณวันสงกรานต์ในอดีตนั้น ใช้การคำนวณโดยการนับวันทางจันทรคติ จึงทำให้ในแต่ละปีวันสงกรานต์จะไม่ตรงกัน และมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างมาก แต่ภายหลังเมื่อนำปฏิทินสุริยะคติ ซึ่งเป็นการนับการโคจรของดวงอาทิตย์มาช่วยในการคำนวณ จึงทำให้การคำนวณมีความแม่นยำมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบัน วันสงกรานต์ จะอยู่ในช่วงประมาณวันที่ ๑๒ – ๑๖ เมษายน ของทุกปี แต่ทางราชการจะกำหนดวันหยุดสงกรานต์เป็นวันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ของทุกปี เพื่อความสะดวกนั่นเองหลายท่านคงเคยทราบมาก่อนแล้วว่า ในอดีตนั้น ประเทศไทยเราได้ใช้วันที่ ๑ เมษายน ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ทราบหรือไม่ครับว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงใช้วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้มีพระราชโองการประกาศให้ใช้ วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจาก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ นั้น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑ เมษายน พอดี นี่จึงเป็นเหตุผลให้ไทยเราใช้วันที่ ๑ เมษายน ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่เรื่อยมา จนกระทั่งถึง ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะ ได้มีมติเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ ๑ เมษายน เป็น วันที่ ๑ มกราคม ตามแบบสากล โดยเริ่มใช้วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นวันขึ้นปีใหม่ครั้งแรก ส่งผลให้ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จึงมีเพียงแค่ ๙ เดือนเท่านั้น นั่นคือ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ – ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓สำหรับวิธีการบอกศักราชนั้น ได้คิดวิธีให้จำได้ง่าย และเพื่อที่จะได้เขียนให้สั้นลง ด้วยการใช้เลขตัวสุดท้ายของศักราช ร่วมกับปีนักษัตร ซึ่งวิธีนี้จะสามารถนับวนไปได้ถึง ๖๐ ปี จึงจะวนกลับมาซ้ำเดิมอีกครั้ง เช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ตรงกับ ปี จ.ศ. ๑๓๘๓ ซึ่งลงท้ายด้วย ๓ และปีนักษัตรปีนี้คือ ฉลู ซึ่งจะเรียกปี ฉลู ตรีศก จุลศักราช ๑๓๘๓ แบบสั้น ๆ ว่า ฉลู ตรีศก สำหรับเลขท้ายศักราชจะมี ๑๐ ตัว คือ ๐ – ๙ จะอ่านดังนี้๑ อ่านว่า เอกศก๒ อ่านว่า โทศก๓ อ่านว่า ตรีศก๔ อ่านว่า จัตวาศก๕ อ่านว่า เบญจศก๖ อ่านว่า ฉศก๗ อ่านว่า สัปตศก๘ อ่านว่า อัฐศก๙ อ่านว่า นพศก๐ อ่านว่า สัมฤทธิศกเกี่ยวกับเรื่องวันสงกรานต์นี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ นางสงกรานต์ บันทึกไว้ว่า มีเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่มีบุตร วันหนึ่งชายขี้เมาผู้ที่มีบุตรสองคนและอาศัยอยู่บ้านใกล้ ๆ กันกับเศรษฐี ได้ไปพูดจาหยาบคายกับเศรษฐี เศรษฐีจึงถามชายขี้เมาผู้นั้นไปว่า เหตุใดจึงมาพูดจาหยาบคายใส่เราเช่นนี้ ชายขี้เมาผู้นั้นจึงตอบไปว่า ท่านเศรษฐีถึงแม้จะมีสมบัติมากมาย แต่หาได้มีบุตรไม่ เมื่อตายไป สมบัติเหล่านั้นก็สูญเปล่า แต่ตัวเรานั้นมีบุตร เห็นว่าประเสริฐกว่าท่านนัก เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็เกิดความละอาย จึงได้ไปบวงสรวงต่อพระอาทิตย์ พระจันทร์เพื่อขอบุตร แต่ผ่านไปสามปีก็หาได้มีบุตรไม่ จนกระทั่งถึงวันสงกรานต์ พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ เศรษฐีจึงพาบริวารของตนไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ บนต้นไทรนั้น มีฝูงนกต่าง ๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีพระไทรสถิตอยู่ จากนั้นจึงนำข้าวสารล้างน้ำเจ็ดครั้งเพื่อหุงบูชาพระไทร แล้วตั้งอธิษฐานขอบุตร พระไทรเห็นดังนั้นจึงเกิดความเมตตา เหาะไปเฝ้าพระอินทร์เพื่อขอบุตรให้เศรษฐี พระอินทร์จึงให้ ธรรมบาลเทวบุตร ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดออกมา เศรษฐีจึงให้ชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วสร้างปราสาทเจ็ดชั้นให้ธรรมบาลกุมารอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำนั้น เมื่อกุมารน้อยเติบโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ภาษานก และได้เรียนไตรเพทจนจบเมื่ออายุได้ ๗ ขวบ จึงได้เป็นอาจารย์บอกการมงคลต่าง ๆ ให้กับผู้คนทั้งหลายเมื่อความทราบถึงท้าวกบิลพรหม ท่านท้าวกบิลพรหมจึงได้มาถามปัญหา ๓ ข้อแก่ธรรมบาลกุมาร โดยสัญญาว่า ถ้าธรรมบาลกุมารสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ท่านจะตัดศีรษะบูชา แต่หากว่าธรรมบาลกุมารไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ท่านก็จะตัดศีรษะของธรรมบาลกุมารเสียท้าวกบิลพรหมถามคำถามแก่ธรรมบาลกุมารว่า เวลาเช้า เวลาเที่ยง และเวลาอัสดง ศรีของมนุษย์อยู่ที่ใดธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้ จึงขอผัดผ่อนไปอีก ๗ วัน เมื่อเวลาผ่านไป ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ จึงคิดว่าวันพรุ่งนี้เห็นทีต้องตายเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น เห็นทีจะหนีไปเสียก่อนดีกว่า ธรรมบาลกุมารจึงหนีออกจากปราสาทของตนแอบไปนอนอยู่ใต้ต้นตาล ซึ่งมีนกอินทรีย์สองตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ธรรมกุมารจึงบังเอิญได้ยินนกอินทรีย์สองตัวผัวเมียคุยกัน นางอินทรีย์ถามสามีของตนว่า วันพรุ่งนี้สามีจะไปหาอาหารที่ไหน สามีจึงตอบว่า พรุ่งนี้จะได้ร่างของธรรมบาลกุมารมาเป็นอาหาร เพราะธรรมบาลจะต้องถูกท้าวกบิลพรหมตัดศีรษะถึงแก่ความตาย เพราะไม่สามารถตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้ นางอินทรีย์จึงถามสามีของตนว่า แล้วสามีท่านรู้หรือไม่ว่าคำตอบคืออะไร สามีจึงตอบแก่นางอินทรีย์ว่า เวลาเช้านั้น ศรีอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงใช้น้ำล้างหน้าในตอนเช้า เวลาเที่ยงนั้น ศรีอยู่ที่อก มนุษย์จึงใช้เครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนเวลาอัสดงนั้น ศรีจะอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงใช้น้ำล้างเท้าในเวลาเย็นย่ำค่ำเมื่อธรรมบาลกุมารได้ยินดังนั้นจึงกลับไปยังปราสาทของตน ต่อรุ่งเช้าเมื่อท้าวกบิลพรหมมาถามปัญหา จึงได้ตอบปัญหาแก่ท้าวกบิลพรหมไปตามที่ตนได้ยินมาท้าวกบิลพรหมเมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว ก็ได้ทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับธรรมบาลกุมาร จึงได้เรียกธิดาทั้ง ๗ ซึ่งเป็นธิดาของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วบอกแก่ธิดาทั้ง ๗ ว่า จะตัดเศียรเพื่อเป็นการบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของพระองค์นั้น หากตกลงสู่แผ่นดิน ก็จะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลก แต่หากอยู่บนอากาศ ก็จะทำให้ฝนแล้ง แต่ถ้าทิ้งลงในมหาสมุทร ก็จะทำให้น้ำในมหาสมุทรแห้งไป จึงขอให้นางทุงษผู้เป็นบุตรคนโตของพระองค์ให้เอาพานมารับเศียรของพระองค์ไว้ เมื่อนางทุงษนำพานมารับเศียรของท้าวกบิลพรหมแล้ว จึงแห่ประทักษิณรอบเขาพระเมรุ จากนั้นจึงเชิญไปประดิษฐานไว้ในมณฑปในถ้ำคันธธุลีบนเขาไกรลาส เมื่อครบ ๓๖๕ วัน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์บนโลกมนุษย์ เทพธิดาทั้งเจ็ดองค์ซึ่งเป็นบุตรของท้าวกบิลพรหมนั้น ก็จะผลัดเปลี่ยนกันมาเชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมออกมาแห่ประทักษิณรอบเขาพระเมรุทุกปี นี่ก็คือ ตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับ นางสงกรานต์ ที่ได้บันทึกไว้บนแผ่นศิลาจารึก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร แต่… ยังครับ ยังไม่จบแค่นี้ ต่อไปเราจะไปทำความรู้จักกับ มิสสงกรานต์ ทั้ง ๗ นาง แบบเอ็กซ์คลูซีฟกันครับ เราจะไปดูกันครับว่า นางสงกรานต์ ทั้ง ๗ อันเป็นบุตรของท้าวกบิลพรหมนั้น เป็นใครกันบ้างนางสงกรานต์ ประจำวันมหาสงกรานต์นอกจากนี้ ท่าทางของนางสงกรานต์ ก็ยังแตกต่างออกไปตามช่วงเวลาอีกด้วย นั่นคือช่วงเวลารุ่งเช้าจนถึงเที่ยง คือ 06.00 ถึง 11.59 นางสงกรานต์จะมาในท่ายืนช่วงเวลาเที่ยงจนถึงค่ำ คือ 12.00 ถึง 17.59 นางสงกรานต์จะมาในท่านั่งช่วงเวลาค่ำจนถึงเที่ยงคืน คือ 18.00 ถึง 23.59 นางสงกรานต์จะมาในท่านอน และลืมตาช่วงเวลาเที่ยงคืนจนถึงรุ่งเช้า คือ 00.00 ถึง 05.59 นางสงกรานต์จะมาในท่านอน และหลับตานางสงกรานต์ที่มาในแต่ละปี พร้อมกับท่าทางอิริยาบถต่าง ๆ นั้น ตามตำราโหร ก็จะมีคำทำนายต่าง ๆ กันไปในแต่ละปี แต่ละท่านั้น ในส่วนของคำทำนายเรื่องนางสงกรานต์นี้ ในหนังสือ พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านมิได้ทรงลงรายละเอียดไว้มากนัก ด้วยพระองค์ทรงให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องที่มิได้เกี่ยวข้องกับทางพระพุทธศาสนา จึงไม่ได้ลงรายละเอียดไว้สำหรับวันสงกรานต์ในปัจจุบันนั้น จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรมการละเล่นรดน้ำการสรงน้ำพระอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับการรดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ และผู้ที่เคารพการขนทรายเข้าวัดประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลอมรวมจนกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ สมควรที่พวกเราจะสืบสานประเพณีอันดีงามนี้ต่อไปสามารถติดตาม Blog Journey ผ่านทาง social media ได้หลากหลายช่องทาง ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับTrueID: @NexUsWordPress: Blog JourneyBlockdit: Blog Journey Pageขอขอบคุณพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , โครงการห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณจุดเปลี่ยนไทยย้ายวันขึ้นปีใหม่ จากยุคโบราณสู่ 1 เม.ย. ปรับไปมาจนเป็น 1 มกราคม , Silapa-Mag.comสงกรานต์ , Wikipediaภาพจาก Freepik 1, 2, 3, 4, 5 โดย @freepik และ 6 โดย @pikisuperstarภาพประกอบอื่น ๆ ทุกภาพ นอกเหนือจากภาพที่ให้เครดิตแล้ว จัดทำโดยผู้เขียน