ภาพปก เจ้าของภาพ: Edar ภาพจาก pixabay การยืมเงินนั้นหลายคนต้องพบเจอเป็นเรื่องปกติธรรมดาและเป็นเรื่องใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นเจ้าแม่ปล่อยเงินกู้เป็นอาชีพก็ตามแต่ก็อาจจะโดนเพื่อน ญาติ พี่ น้อง คนใกล้ตัวของเราเองหรือแม้แต่คนที่เราไม่สนิทก็อาจจะมีมาขอยืมเงินเราบ้างเล็กๆน้อยๆจนไปถึงหลักหมื่นบาท หลักแสน (ถ้าถูกหวยก็อาจหลักล้านบาทกันเลยทีเดียว 555) ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากให้เขายืมเงินเลยเพราะเราเองลำบากเหมือนกันก็ตาม แต่ก็ติดตรงที่ว่าเราปฏิเสธไม่เป็นหรือเพราะความเกรงใจเนื่องจากเขาเป็นคนใกล้ตัวเรา จึงทำให้เราต้องจำใจมอบเงินให้แก่เขาไปทั้งๆที่เราเองก็มีภาระต่างๆที่ต้องใช้เงินแต่ท่านรู้ไหมว่า คดีกู้ยืมเงินส่วนใหญ่สาเหตุมาจากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเป็นส่วนใหญ่ และเพราะความเชื่อใจเราเลยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้ที่เขาเรียกว่า "สัญญาใจ" นั้นเองเจ้าของภาพ geralt ภาพจาก pixabay ในวันนี้กะผมจะนำความรู้เกี่ยวกับการทำสัญญากู้ยืมเงินมาฝากท่านกันนะครับอย่างแรกเลยที่เราควรต้องรู้คือ กฎหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินมันว่ายังไงกันนะ ภาพโดยนักเขียนจากบทบัญญัติมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะเห็นได้ว่าโดยปกติแล้วการกู้ยืมเงินที่มากกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น จะต้องมีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืม (สัญญากู้ยืมเงินนั้นเอง) หากไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ(นั้นก็คือการตกลงด้วยปากเปล่าหรือสัญญาใจกัน) ก็จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันไม่ได้นะจ๊ะ ต้องนอนเจ็บใจและร้องไห้ไปหลายวันกันเลยเจ้าของภาพ sozavisimost ภาพจาก pixabay ดังนั้นการอธิบายขอแยกออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่การกู้ยืมเงินกันไม่เกิน 2,000 บาท (1 บาท - 2,000 บาท) ฉะนั้น 2,000 บาทพอดีก็เข้าข้อนี้การกู้ยืมเงินกันไม่เกิน 2,000 บาทนั้น ด้วยกฎหมายเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อย กฎหมายจึงไม่ได้กำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้นเพียงแค่เราตกลงกันด้วยวาจา หรือ สัญญาใจกัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากมีปัญหาเมื่อครบกำหนดชำระแล้วไม่คืนเงินเรา ก็สามารถนำเรื่องมาฟ้องศาลได้นะครับ (แต่ความเป็นจริงแล้ว เราคงไม่ฟ้องกันเพราะจะโดนค่าจ้างทนายความที่ฟ้องมากกว่าที่กู้ยืมเงินกันอีก 55555 แต่ถ้ามีเพื่อนหรือญาติเป็นทนายความก็ลุยเลย!!) อย่างไรก็ดีเราควรทำหลักฐานไว้หน่อยก็ดี หากตอนนั้นไม่มีกระดาษA4 ก็เอากระดาษเช็คชู่มาเขียนได้เลย แต่ระวังขาดนะ โดยควรมีข้อความสั้นๆก็พอคือวันที่ใครกู้ใครจำนวนเงินเท่าไหร่จะคืนวันไหนแล้วก็ลงลายมือชื่อกันแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว 2. กรณีที่มีการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาท (2,001 บาทขึ้นไป)การกู้ยืมเงินกันที่มากกว่า 2,000 บาทนั้น กฎหมายได้กำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้นเราจึงต้องทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้ในกรณีที่ลูกหนี้ของเราเบี้ยวหนี้ไม่ยอมจ่ายเราจึงนำคดีเข้าฟ้องต่อศาลได้ การทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ในสัญญาควรระบุข้อความดังต่อไปนี้ชื่อหัวกระดาษ "สัญญากู้ยืมเงิน"ทำสัญญากันที่ไหน (สถานที่เขียนสัญญากัน)วันที่ทำสัญญา ผู้ให้กู้ชื่ออะไร เลขบัตรประจำตัวอะไร อยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ผู้กู้ชื่ออะไร เลขบัตรประจำตัวอะไร อยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่จำนวนเงินที่กู้ยืมต้องมีข้อความด้วยว่า "ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา"คิดดอกเบี้ยกันเท่าไหร่ (ดอกเบี้ยต้องไปเกินร้อยละ 15 ต่อปีนะ ไม่งั้นดอกเบี้ยเป็นโมฆะนะ)กำหนดชำระเงินคืนวันไหน ลงลายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนหลักฐานที่ควรแนบไว้ในสัญญากู้ยืมเงินนั้น แต่ถ้าไม่ได้แนบไว้ก็ไม่เป็นผลอะไรแค่มีไว้ก็ดีสำเนาบัตรประชาชน ทั้ง 2 ฝ่ายสลิปโอนเงิน กรณีเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีภาพถ่ายการรับเงิน กรณีเป็นเงินสดเกร็ดความรู้ : สัญญากู้ยืมเงินเราไม่ต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เหมือนการซื้อขายที่ดินนะครับภาพโดยนักเขียนทั้งนี้ทั้งนั้นการให้คนอื่นยืมเงิน เราควรพิจารณาให้ดีว่าเขาจะคืนเงินเราหรือไม่ หากไม่แน่ใจก็ไม่ควรให้เขายืมเงิน หรือให้ยืมเงินเป็นจำนวนเล็กๆน้อยๆก็พอ แล้วเราก็ตัดหนี้ศูนย์ไปเลย จะได้ไม่ต้องมาคิดมากว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่E-mail : kkitsada1997@gmail.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !