วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ อยู่บ้านเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปไหนดี ? ตามเรามา ! เพราะวันนี้ เราจะพาทุกคนไปเที่ยวถ่ายรูปแบบชิค ๆ ในสไตล์สายบุญ นั่นก็คือ ไปไหว้พระตามวัดต่าง ๆ พร้อมถ่ายรูปอวดลงโซเชียล ให้ดูเป็นคนธรรมะ ธรรมโม เข้าวัดเข้าวา กับเขาซะบ้าง ซึ่งเราจะไปได้กี่วัด และไปไหนได้บ้างใน 1 วัน ต้องตามมาดูกัน ซึ่งทริปนี้ เราเดินทางด้วยแท็กซี่ และเน้นเดินเท้ากันเป็นส่วนใหญ่ เพราะไปกับเพื่อนกัน 4 คน หารค่ารถแท็กซี่ จะคุ้มกว่า การนั่งรถเมล์ หรือวินมอเตอร์ไซค์ นั่นเอง อย่ารอช้า ! ก่อนจะอิ่มบุญ ก็ต้องเตรียมท้องให้พร้อม ที่แรก เราพาทุกคนมากินร้านอาหารไทยที่ชื่อว่าร้าน "โรงรส" ในย่านท่าเตียน ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศดี เห็นวิววัดอรุณที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นหนึ่งร้านรสชาติอร่อยในย่านนี้ ที่อยากให้ทุกคนได้มาลิ้มลองกัน ซึ่งเป็นร้านที่เปลี่ยนโฉมจากโรงรถเก่า มาเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ตกแต่งได้อย่างมีเอกลักษณ์ เมนูที่เราสั่งวันนี้ จะเป็นส้มตำไทย ไก่ย่าง เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว ในราคา 240 บาท รสชาติกลมกล่อมในสไตล์ไทย ๆ พร้อมข้าวเหนียวและไก่ย่างเนื้อนุ่มหนังกรอบ อีกหนึ่งจานที่สั่ง ก็คือ ผัดไทยไก่กรอบ ในราคา 220 บาท เส้นนุ่ม รสชาติถึงเครื่อง ครบรส ใครมากิน แนะนำ 2 จานนี้ ไม่ควรพลาด ! บริเวณด้านหน้าร้าน "โรงรส" ผัดไทยไก่กรอบ & ชุดส้มตำไทย วิวบริเวณชั้น 2 ของร้าน มองเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ หนังท้องตึง แต่หนังตาห้ามหย่อน เพราะยังมีอีกหลายที่ ที่เราจะพาทุกคนไป ซึ่งก่อนจะไปวัด เราขอแวะซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม เพิ่มความสดชื่นสักหน่อย เป็นร้านที่ขายอยู่หน้าปากซอยร้านโรงรส เฉาะกันสด ๆ ให้ได้ดื่มเลยทีเดียว เหนือสิ่งอื่นใด ก็ขอแชะภาพกับมะพร้าว ให้ดูเป็น Traveler ซะหน่อย ขอแอบกระซิบว่า ด้านหลังของเรานั้น คือวัดแรกที่พวกเราจะไปกัน มะพร้าว หอมหวาน เย็นชื่นใจ ราคา 50 บาท ถ่ายรูปกับมะพร้าวซะหน่อย ฉากหลัง คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ก้าวเท้าเดินมากันต่อประมาณ 250 เมตร เราก็จะถึงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่รัชกาลที่ 1 และยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1อีกด้วย จุดเด่นของวัดโพธิ์ คือ มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย มากถึง 99 องค์ ซึ่งประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสันสวยงาม ทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้ว สวยมาก ๆ วัดแห่งนี้ จึงเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาไหว้พระ พร้อมเก็บรูปสวย ๆ อวดลงโซเชียลกันเป็นจำนวนมาก ความงดงามของสถาปัตยกรรมภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เดินทางมาวัดที่ 2 กันต่อเลย อยู่ห่างจากวัดแรก ประมาณ 800 เมตร นั่นก็คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นวัด ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 วัดนี้จึงถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ความงดงามของวัดแห่งนี้ มีคุณค่าและเอกลักษณ์ไทยที่สวยงามมาก ๆ เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตกได้อย่างงดงาม ละเมียดละไม อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตา แล้วจะรู้ว่า นี่แหละ คือสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินที่มีศิลปะงดงามเช่นนี้ ซึ่งเมื่อมาแล้ว เราก็ต้องไม่พลาดที่หามุมถ่ายรูปสวย ๆ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเข้ามาที่วัดแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่า นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว แต่คงจะมีครั้งต่อไปแน่นอน ที่เราจะกลับมาไหว้พระ และชมความงามของวัดแห่งนี้อีกครั้ง ความงดงามของสถาปัตยกรรมในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร หลังจาก ไหว้พระ ชมความงามของทั้ง 2 วัดเสร็จแล้วก็ใกล้จะหมดวัน แต่เรายังไม่จบแค่นั้น เราเดินทางมากันต่อที่กระทรวงกลาโหม เดินมาประมาณ 400 เมตร เราก็จะพบกับอาคารสูง 3 ชั้น สีเหลือง ซึ่งเป็นหนึ่งจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันเยอะมาก สถานที่นี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยสถาปัตยกรรมโอคลาสิคแบบนีโอปัลลาเดียน ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ไม่ควรพลาด เมื่อได้มาเที่ยวในย่านนี้ พระบรมมหาราชวัง และสุดท้าย ก่อนกลับ เราก็มาแวะมาเก็บภาพสวย ๆ กันที่ เสาชิงช้า อีกหนึ่งสถานที่ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่หน้าวัดสุทัศน์เทพวราราม และลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าใน พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และเสาชิงช้ายังถูกกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งวันในกรุงเทพฯ ที่มีความสุขมาก ๆ เพราะได้กินทั้งอาหารไทย ได้เสพความงามของสถาปัตยกรรมไทย สถานที่ ที่มีประวัติความเป็นมาของไทยในสมัยก่อน แถมยังได้ภาพสวย ๆ กลับมาเยอะมาก สำหรับใครที่วันหยุดไม่รู้จะไปไหนดี ก็ลองมาเที่ยวแบบพวกเราชาวแก๊งค์กันดูได้ หารค่าแท็กซี่กับเพื่อน 3-4 คน ใช้งบไม่ถึง 500 บาทต่อคน ก็อิ่มอก อิ่มใจและอิ่มบุญได้ ในหนึ่งวัน ที่กรุงเทพฯ ภาพ & เขียน : Aishi