วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับ ถนนสายไวน์ในแคว้นอัลซาส Alsace Wine Route ซึ่งมีระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร มีหมู่บ้านกว่า 120 หมู่บ้าน และผู้ผลิตไวน์กว่าหนึ่งพันแห่งด้วยกัน ถือเป็นเส้นทางปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส คือมีมาตั้งแต่ปี 1953 ในฤดูร้อนเป็นที่นิยมมาขี่จักรยานท่องเที่ยวเพื่อชมไร่องุ่นและหมู่บ้านต่าง ๆ หน้าหนาวโดยเฉพาะช่วงที่มีตลาดคริสมาสต์เดินเล่นแล้วเหมือนอยู่ในเทพนิยาย การเดินทางบนถนนสายไวน์นี้สามารถเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองสตราสบวร์ก Strasbourg หรือ กองมาร์ Colmar ไปสิ้นสุดเส้นทางที่เมืองมุลเฮ้าส์ Mulhouse ซึ่งเมืองต่างๆ บนถนนสายนี้นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสแล้วบนเส้นทางนี้ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็ก ๆ ในยุคกลางที่สวยเหมือนหมู่บ้านในเทพนิยาย ผู้ผลิตไวน์ในแคว้นอัลซาสนี้ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไวน์เนอรี่ในฤดูเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน การเดินทางที่สะดวกที่สุดหากเราจะมาเที่ยวที่นี่คือเช่ารถขับไปตามเส้นทางสายไวน์โดยเราจะพ่วงกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนีและสวิสเซอร์แลนด์ด้วยก็สะดวก เราเที่ยวในแคว้นอัลซาสนี้จะรู้สึกเหมือนอยู่ในเยอรมนีมากกว่าฝรั่งเศส ด้วยความที่มีประวัติความเป็นมายาวนานผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของฝรั่งเศสและเยอรมนี เมือง Strasbourg เมืองหลวงของแคว้น Grand Est เมืองที่เป็นที่ตั้งของที่ทำการสหภาพยุโรป แต่ก่อนเมืองนี้เคยอยู่ในแคว้น Alsace เป็นเมืองที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปเดินได้สบาย ๆ สัมผัสได้ถึงศิลปะและวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางถึงเรอเนซองส์ ย่านสำคัญในเมืองนี้ คือ La Petite France หรือฝรั่งเศสน้อยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ และโบสถ์สำคัญประจำเมืองอย่างโบสถ์ Cathedral of Our Lady of Strasbourg ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 1176 ถึงปี 1439 โดยเริ่มก่อสร้างในแบบโรมานิคและไปจบลงที่แบบโกธิค โบสถ์นี้อลังการมากทั้งด้านในและด้านนอกของโบสถ์ กองมาร์ Colmar เมืองที่มีสีสันสวยงามอีกเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าร้อนจะเห็นดอกไม้ประดับไว้ทุกหนทุกแห่งในเมือง ไม่ว่าจะเป็นตามหน้าต่างบ้าน ถนน สะพาน และอาคารร้านค้าต่าง ๆ กลางเมืองมีย่านที่เรียกว่าเวนิสน้อย หรือ la Petite Venise เพราะมีแม่น้ำ คูคลองผ่านเมืองทำให้ได้บรรยากาศที่คล้ายกับเมืองเวนิส เมืองกองมาร์ ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้วในบรรดาเมืองที่อยู่บนถนนสายไวน์ แต่เดินเล่นในเมืองนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็ทั่วแล้วค่ะ เมืองต่อมาคือเมือง Riquewihr ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในประเทศฝรั่งเศส Les Plus Beaux Villages de France เมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่ถนนในเมืองสวยงามเดิน กำแพงและประตูเมืองทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในปราสาทยุคกลาง เมืองนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อเราเดินเข้าประตูเมืองมาเราจะได้พบกับสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ถึง 40 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นหอเฝ้าระวังสามแห่งที่ทางเข้าเมือง และหอระฆัง เป็นต้น เมืองบาร์ Barr เมืองน่ารัก ๆ อีกเมืองที่อยู่ห่างจากสตาสบวร์ก ยี่สิบห้ากิโลเมตร เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองหลวงของถนนสายอัสซาสไวน์ เป็นที่จัดงานไวน์แฟร์ที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี รวมถึงประเพณีการเก็บเกี่ยวองุ่นที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งจัดขึ้นทุกปีในสุดสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม Dambach-la-Ville เมืองสุดท้ายที่เราจะพาไปชมค่ะ เมืองนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นเมืองที่เก่าแก่มากที่สุดเมืองหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างที่เด่นชัดคือประตูเมือง ศาลากว่าการเมืองที่สร้างในแบบเรอเนซองส์ ในศตวรรษที่ 17, น้ำพุกลางเมืองในแบบสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ รวมถึงบ้านเรือนในสไตล์ half-timbered ที่ประดับด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม ในโอกาสต่อไปเราจะมาเจาะลึกแต่ละหมู่บ้านแต่ละเมืองที่น่าสนใจในแคว้นอัลซาส ซึ่งแต่ละเมืองก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง @ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน #เที่ยวต่างประเทศ #เที่ยวยุโรป