อยากเขียนบทความ เริ่มต้นยังไงดีอยากเขียน แต่ไม่รู้ว่า จะเขียนเรื่องอะไรดี ทำยังไงเขียนไม่เก่ง ไม่เคยเขียน เขียนได้ไหม#บทความนี้มีคำตอบ แชร์จากประสบการณ์จริง และสามารถนำไปใช้ได้จริงอยากเขียนบทความ เริ่มต้นยังไงดีบทความนี้ ผมขออนุญาตใช้ภาษาเขียน แบบเป็นกันเองนะครับ เพื่อให้อ่าน และทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น รู้สึกเป็นกันเอง ผ่อนคลาย สบายๆ และค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันครับเริ่มจากการสำรวจตัวเองก่อนครับ คือ1. เริ่มจากการสำรวจตัวเองในสิ่งที่ชอบว่า ตัวเราเองชอบอะไร2. เริ่มจากการสำรวจตัวเองในสิ่งที่รู้ว่า ตัวเราเองมีความรู้ในเรื่องอะไร3. เริ่มจากการสำรวจตัวเอง จากความสามารถรอบตัว หรือความสามารถรอบด้านของตัวเราเองว่า ตัวเรามีความสามารถในเรื่องอะไร หรือมีความสามารถในด้านไหนคำแนะนำ : ให้เราเริ่มจากการสำรวจตัวเองก่อนว่า ตัวเราเองมีความชอบในเรื่องอะไร มีความรู้ในเรื่องอะไร มีความสามารถในเรื่องอะไร หรือมีความสามารถในด้านไหน เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ ความสุข ปรัชญา การใช้ชีวิต สุขภาพ การออกกำลังกาย การดูแลตัวเอง การเงิน การทำธุรกิจ การลงทุน ศิลปะ การวาดภาพ การระบายสี การทำสวน การทำเกษตร การปลูกพืชผัก ผลไม้ การจัดการบ้าน การดูแลบ้าน การตกแต่งบ้าน การต่อเติมบ้าน การออกแบบบ้าน การเสริมสวย ความสวย ความงาม การดูแลผิว การแต่งหน้า การดูแลผม การเลือกทรงผม การดูแลผิวพรรณ การออกแบบดีไซน์ เช่น เสื้อผ้า การแต่งกาย การเลือกเสื้อผ้า การเลือกรองเท้า เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ การใช้โปรแกรมต่างๆ วิธีการทำงาน วิธีการบริหารเวลา การตัดต่อ การสื่อสาร การรีวิว การนำเสนอ การเลือกซื้อยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ การสำรวจธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า ตำนาน โบราณคดี การท่องเที่ยว การเดินทาง การทำอาหาร เครื่องครัว หรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน และเครื่องมือต่างๆ การเล่นดนตรี เครื่องดนตรี การร้องเพลง การอ่านหนังสือ การเล่านิทาน การเล่นกีฬา การดูแลสัตว์ และอื่นๆให้ลองสำรวจตัวเองกันก่อนนะครับว่า ตัวเราเองชอบอะไร มีความรู้อะไร หรือมีความสามารถอะไร ในด้านไหน และการสำรวจตัวเอง ต้องค่อยๆ เริ่มอย่างช้าๆค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ไม่ต้องกังวล หรือรีบร้อน ค่อยๆ คิดอย่างรอบคอบ และสังเกตตัวเองให้ดีๆ ว่า ตัวเราเองชอบอะไรจริงๆ มีความรู้ในเรื่องอะไร หรือมีความสามารถในเรื่องอะไร หรือด้านไหนเมื่อเราสำรวจตัวเอง และค้นพบว่า ตัวเราเองชอบอะไร ตัวเราเองมีความรู้ในเรื่องอะไร หรือตัวเราเองมีความสามารถในเรื่องอะไร สิ่งที่เราต้องทำในขั้นตอนต่อมา คือ การเริ่มต้น วางแผนการเขียนโดยจุดประสงค์หลักของการเขียน แบ่งออกเป็น 2 จุดประสงค์หลักใหญ่ๆ คือ1. เขียนเพื่อความบันเทิง ให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน รู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ หรือจะเขียนแบบทอดแทรกสาระความรู้ เล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมเข้ามาด้วย ก็สามารถเขียนได้ 2. เขียนเพื่อแก้ปัญหา และตอบโจทย์ ตลาดความรู้ ความต้องการ เช่น การเขียนให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ หรือสามารถนำไปปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้ เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ หรือเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ที่ต้องการการวางแผนการเขียนเขียนเรื่องอะไร เช่น เรื่องที่ชอบ เรื่องที่รู้ หรือเรื่องที่ตัวเองมีความสามารถจุดประสงค์ของการเขียน คือ เขียนเพื่ออะไรเมื่อรู้แล้วว่า อยากเขียนเรื่องอะไร และเขียนเพื่ออะไร ก็สามารถเริ่มเขียนได้เลยคำถาม ก่อนอื่น ผมขออนุญาตใช้คำเรียก คำว่า เพื่อนๆ นะครับ เพื่อความสะดวกในการเขียน และทำให้อ่านเข้าใจง่าย ขออนุญาตนะครับ เพื่อนๆ หลายคนอาจจะสงสัยนะครับว่า จะเริ่มเขียนยังไงคำตอบ คือ เขียนแบบนั้นเลยครับ และการเขียนแบบนั้น ในความหมายของผม คือ อะไร มาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับตัวอย่าง เช่น หากเพื่อนๆ ชอบเรื่องความรัก และกำหนดจุดประสงค์ของการเขียนแล้วว่า อยากเขียนเพื่อความบันเทิง ก็เริ่มเขียนได้เลยครับตัวอย่าง เช่น เริ่มจากการเขียนเรื่องโรแมนติกๆ ที่คู่รักใช้เวลาร่วมกัน คือ เขียนยกตัวอย่างขึ้นมาก็ได้ครับว่า มีเรื่องอะไรบ้าง หรือมีกิจกรรมอะไรบ้าง ที่คู่รักใช้เวลาร่วมกัน การเขียนในลักษณะนี้ เป็นการเขียนเพื่อให้ความบันเทิง และความเพลิดเพลิน ผ่อนคลายใจตัวอย่าง ต่อมานะครับ หากเพื่อนๆ ชอบเรื่องสัตว์ อยากเขียนเรื่องสัตว์ และอยากเขียนเพื่อความบันเทิง ก็เริ่มเขียนได้เลยครับตัวอย่าง เช่น เริ่มจากการเขียนแนะนำสัตว์ ต่างๆ เช่น สัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ หรือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก หรืออาจจะเขียนแนะนำสัตว์ที่หายากให้ได้รู้จัก หรือเพื่อนๆ จะเขียนทอดแทรกเกร็ดความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมก็ได้นะครับ สามารถเขียนได้เลยหากเพื่อนๆ ชอบเรื่อง การเงิน อยากเขียนเพื่อความบันเทิง ก็เริ่มเขียนได้เลยครับตัวอย่าง เช่น เขียนวิธีการออมเงินในแบบของตัวเองที่ทำให้รู้สึกมีความสุข หรือเขียนบอกเล่าประสบการณ์ การเงินของตัวเอง เช่น การไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ และการจัดการ เรื่องเงินต้องทำยังไง การเขียนแบบนี้ ก็เป็นการเขียน เพื่อความบันเทิง เช่นกันครับ โดยเขียนผ่านการบอกเล่า ผ่านเรื่องราวต่างๆ ของตัวเพื่อนๆเอง และยังเป็นการเขียนที่ทอดแทรกเกร็ดความรู้ ไปพร้อมๆ กันด้วยครับและทั้งหมดนี้ เป็นแค่การยกตัวอย่างในการเขียนเท่านั้นนะครับ เพื่อนๆ สามารถจะเขียนในรูปแบบไหน ก็ได้ครับ ไม่จำกัดรูปแบบในการเขียนเลย สามารถจะเขียนในแบบของตัวเพื่อนๆเองได้เลยครับ และเพื่อนๆ สามารถเขียนได้ทุกเรื่องเลยนะครับ ไม่มีการจำกัดใดๆ ทั้งสิ้นครับ(แม้จะสามารถเขียนได้ทุกเรื่อง และสามารถเขียนได้ในทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องด้วยนะครับ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง และก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น และทุกการเขียนสามารถเขียนได้อย่างมีอิสระครับ แต่ก็ต้องเขียนอย่างมีสติด้วยนะครับ) หากเพื่อนๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนสามารถเข้าใจ ในสิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดแล้ว แต่ว่าเพื่อนๆ ก็ยังคงมีคำถามในใจใช่ไหมครับว่าเริ่มเขียนยังไง คือ รู้แล้วว่า ตัวเองชอบเรื่องอะไร หรือมีความรู้ เรื่องอะไร และมีความสามารถในเรื่องอะไร รู้จุดประสงค์ของการเขียนแล้วว่า อยากเขียนเพื่ออะไร แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ ไม่รู้ว่า จะเริ่มต้นเขียนยังไง คือ เขียนไม่ออก ไม่รู้ว่า จะเริ่มเขียนจากตรงไหนก่อนดี ทุกสิ่งที่จะอยากเขียนนั้น อยู่ในหัว และคิดไว้แล้วว่า จะเขียนอะไร ยังไง แต่พอมาเริ่มเขียนจริงๆ ก็เขียนไม่ออก ไม่รู้เลยว่า จะเริ่มยังไงดี เพื่อนๆ กำลังเจอปัญหานี้อยู่ใช่ไหมครับแนะนำวิธีการแก้นะครับ คือ ให้เขียนไปเลยครับ คิดอะไรออก ก็เขียนไปก่อนเลยครับ เขียนอะไรได้ ก็เขียนไปก่อนเลย ลงมือเขียนเลยครับ และไม่ต้องกังวล อะไรทั้งสิ้นครับ เริ่มเขียนเลย เขียนสิ่งที่ตัวเองคิดได้ในขณะนั้น เขียนลงไปเลย ลงมือเขียนเลย โดยไม่ต้องคิดอะไรมากครับผมอยากบอกเพื่อนๆ ว่า การเขียนไม่ออก ไม่มีวิธีการแก้ครับ คือ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะหาอ่านจากหนังสือ หรือบทความไหน ก็ตาม หรือเพื่อนๆ จะอ่านมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการเขียนไม่ออกได้ครับ เพราะวิธีเดียวที่จะสามารถแก้ปัญหาการเขียนไม่ออกได้ คือ ต้องเขียนครับผมเข้าใจนะครับว่า เพื่อนๆ บางคนก็อาจจะเป็นนักเขียนมือใหม่ คือ มือใหม่จริงๆ ไม่มีความรู้ ทั้งเรื่องการเขียน การใช้คำ การเว้นวรรค อะไรต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึก ไม่กล้าเขียน เพราะกลัวว่า จะเขียนออกมาได้ไม่ดี ไม่มีคนอ่าน หรือคนจะอ่านน้อย หรือเปล่า จะโดนวิจารณ์ หรือเปล่า ผมขอบอกเพื่อนๆ จากหัวใจจริงๆ เลยครับว่า เขียนโดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ครับ เพราะยิ่งเพื่อนๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องลบๆ ต่างๆ เหล่านี้ เพื่อนๆ ก็จะไม่มีวัน ได้เขียนเลยครับ และสุดท้ายก็จะมีแค่ว่างเปล่า และเสียเวลาไปเรื่อยๆ โดยเปล่าประโยชน์ โดยที่ไม่ได้เริ่มต้นเขียนอะไรเลยแชร์ประสบการณ์ การเขียนของตัวเองผมต้องขอบอกเพื่อนๆ ก่อนนะครับว่า ตัวผมเอง ไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ ผมเป็นแค่นักเขียนธรรมดาๆ ปกติทั่วไป คือ ก็พอจะเขียนได้ และเขียนเป็นบ้างครับ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ว่า เขียนเก่ง หรือเป็นมืออาชีพอะไรตอนผมเริ่มต้นเขียนครั้งแรก ผมก็เป็นเหมือนกับเพื่อนๆครับ คือ ผมกลัวมากๆ ว่า จะมีคนอ่านหรือเปล่า หรือจะโดนวิจารณ์หรือเปล่า และจะมีคนไม่ชอบหรือเปล่า จะโน่น จะนั่น จะนี่ เยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับ และสุดท้าย ผลของการที่ผมเอาแต่คิดไปต่างๆ นาๆ คือ ผมก็ไม่ได้เขียนอะไรเลย ผมได้แค่นั่ง และจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลา 3 ชั่วโมง โดยที่ไม่มีตัวอักษรอะไรเลย แม้แต่ตัวอักษรเดียวและผมทำยังไง ผมถึงเริ่มเขียนได้ อันดับแรกเลยนะครับ ให้เรามั่นใจในตัวเองก่อนครับว่า เขียนออกมาแล้ว มันต้องดี และดีมากๆ จะต้องมีคนอยากที่จะอ่านงานเขียนของเรา และทุกคนๆ จะต้องชอบ และชื่นชมงานเขียนของเรา ผมอยากให้เพื่อนๆ เติมความมั่นใจให้ตัวเองก่อนนะครับว่า ตัวเราเองทำได้ ให้คิดและมองในมุมมองบวกเข้าไว้นะครับ เพราะมันจะช่วยกระตุ้นความกล้าในการเขียนของเราขึ้นมาครับ และการที่ผมเขียนบทความนี้ออกมาได้ ก็เป็นผลมาจากการคิดบวกตามวิธีการคิดข้างต้นที่พึ่งจะบอกเพื่อนๆ ไปครับและผมอยากบอกเพื่อนๆ ว่าเวลาที่เพื่อนๆ เริ่มเขียนไม่ต้องกังวลนะครับว่า จะเขียนผิด หรือเขียนถูก ผมอยากให้เพื่อนๆ ลืมเรื่องพวกนี้ไปก่อนเลยนะครับ เพื่อนๆ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่า จะเขียนผิด หรือถูก และการแก้ในตอนเขียนนะครับ เพราะมันจะทำให้เพื่อนๆ ไม่กล้าเริ่มต้น ที่จะเขียนครับ ให้เพื่อนๆ ลืมเรื่องการเขียนผิด และถูกไปก่อนเลยนะครับ เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้เริ่มต้นเขียนได้เคล็ดไม่ลับเวลาที่เพื่อนๆ เขียนให้นึกถึงคนอ่านเยอะๆ นะครับ เพราะหากเราเขียน แล้วนึกถึงตัวเองว่า คนอ่านจะมองเรายังไง เราก็จะมีแต่ความกลัวครับ หนึ่งในปัญหาหลักของนักเขียน คือ การกลัวว่า ตัวเองจะถูกมองจากคนอ่านว่ายังไง เลยทำให้คนส่วนใหญ่ หรือคนที่อยากเป็นนักเขียน ไม่กล้าเริ่มต้นที่จะเขียน เพราะกลัวว่า จะถูกคนอื่นตัดสินผมอยากบอกความจริงกับเพื่อนๆ นะครับว่า ในโลกนี้ไม่ใครที่ไม่ถูกตัดสินครับ เพราะแม้แต่ตัวเพื่อนๆ เองก็ยังตัดสินตัวเองเลยใช่ไหมครับ ว่าตัวเอง ต้องทำได้ไม่ดี และถูกคนอื่นๆ วิจารณ์แน่ๆ ผมอยากย้ำตรงนี้เลยนะครับว่า อย่ากลัวที่จะถูกตัดสินครับ เพราะยิ่งเพื่อนๆ กลัวมากเท่าไหร่ เพื่อนๆ ก็จะยิ่งไม่กล้าเริ่มต้น ที่จะเขียนเลยครับ ดังนั้นแล้ว ผมอยากให้เพื่อนๆ เขียนเลยครับ เขียนไปเลย ไม่ต้องกลัวครับ หรือถ้าหากเพื่อนๆ รู้สึกกลัว ก็ให้เพื่อนๆ ลองคิดว่า เขียนให้เพื่อน คนรอบตัว หรือคนรอบข้างอ่าน เพื่อนๆ สามารถลองใช้วิธีการคิดนี้ได้นะครับ เพื่อลดขอบเขตในการคิดของตัวเองลงมา และจะช่วยให้เพื่อนๆมีความกล้าที่จะเริ่มเขียนมากขึ้นเขียนไม่เก่ง ไม่เคยเขียน เขียนได้ไหมคำตอบ คือ เขียนได้ครับ ไม่เคยเขียน ก็เขียนได้ครับ เพื่อนๆ จำได้มั้ยครับว่า ตอนที่เรียนอยู่ เวลาที่คุณครูให้เพื่อนๆ เขียนเรียงความครั้งแรก เพื่อนๆ ทำยังไง และแน่นอนว่า คำตอบของเพื่อนๆ คือ เขียนในสิ่งที่คิดได้ในตอนนั้น ลงไปเลยใช่ไหมครับ เพราะคงไม่มีใครบอกว่า ฉันได้ฝึกเขียนเรียงความครั้งที่ศูนย์ มาแล้ว ก่อนจะมาเริ่มเขียนครั้งที่หนึ่ง หวังว่าคงจะไม่มีใครนะครับ คือ ทุกๆคนต่าง ก็เขียนครั้งนั่นแหละครับ แต่ทำไม ถึงเขียนได้ล่ะครับ ถ้าหากเพื่อนๆลองคิดดูดีๆ ก็จะได้รับคำตอบว่า ในตอนที่เรายังเป็นเด็กนั้น เราไม่ได้คิดอะไรมากเลยครับว่า คนอื่นๆ หรือใครจะมองเราว่ายังไง เราแค่อยากเขียนในสิ่งที่เราคิดเท่านั้น และสิ่งเดียวที่เราคิด ก็มีแค่ว่า เราจะเขียนยังไง และเขียนอะไรเท่านั้น มันจึงทำให้เราเขียนได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากเราเอาแต่คิดว่า คนอื่นๆจะมองว่า เราเป็นคนยังไง ที่เขียนอะไรแบบนี้ หรือเขียนอะไรแบบนั้น เราก็จะกลัวว่า การเขียนแบบนี้ คนแบบนั้นจะคิดยังไง หรือการเขียนแบบนั้น คนแบบนี้ จะคิดยังไง ซึ่งก็จะทำให้เราไม่มีความกล้าที่จะเขียน และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถเขียนอะไรได้เลย ซึ่งตัวผมเองก็เข้าใจนะครับ ว่าในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งที่เราการกระทำย่อมมีความกลัวอยู่เสมอ แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ ลองฝึกที่จะลดความกลัวของตัวเองให้เหลือน้อยที่สุด เพราะยิ่งเรามีความกลัวน้อยเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีความกล้าที่จะทำมากขึ้นไม่เคยเขียนเลย กลัวจะว่าจะเขียนไม่ได้ เขียนไม่ดี ผมอยากบอกว่า ไม่ต้องกังวล หรือกลัวไปครับ เขียนไปเลยครับ อย่างที่ผมบอก คิดอะไร ก็เขียนเลย ไม่ต้องกลัวว่า จะเขียนผิด หรือถูก เขียนไปเลย เขียนไปในแบบของเราเลยครับ ยิ่งแตกต่างยิ่งดีครับ ยิ่งเขียนครั้งแรก ยิ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะนั่นแหล่ะครับ จะเอกลักษณะเฉพาะตัวในการเขียนของเพื่อนๆ ที่จะทำให้นักอ่านทุกๆคนจดจำเพื่อนๆ ได้ครับจะรู้ได้ยังไงว่า เขียนแล้วคนชอบ หรือไม่ชอบคำตอบ คือ ต้องเขียนให้คนอ่านเท่านั้นครับ ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เพราะเพื่อนๆ ไม่มีทางได้คำตอบจากการคิดแน่นอนครับ ทางเดียวที่เพื่อนๆ จะรู้ว่า คนอ่านจะชอบ หรือไม่ ก็คือ ต้องเขียนออกมา และให้คนได้อ่านดูก่อน และผลตอบรับ ที่ตอบกลับมาจะเป็นตัวบ่งบอก ให้เพื่อนๆ ได้รู้เองครับว่า ดีหรือไม่ดี และคนชอบ หรือไม่ชอบ งานเขียนของเราเคล็ดไม่ลับผมจะแชร์วิธีการหนึ่งง่ายๆ ให้เพื่อนๆ ได้ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ถ้าหากเพื่อนๆ อยากจะรู้ว่า คนชอบ หรือไม่ชอบ และดีหรือไม่ดี หรือถ้าหากเพื่อนๆ อยากจะทดสอบผลตอบรับในการเขียนของเพื่อนๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้ครับ วิธีการ คือ ให้เพื่อนๆ สมัคร Facebook ครับ หลังจากนั้นให้เพื่อนๆ กดเพิ่มเพื่อนให้เยอะที่สุดเลยครับ แต่การเพิ่มเพื่อนในที่นี้ ผมแนะนำอย่างนี้นะครับว่า หากเพื่อนๆ เขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร ก็ให้เพิ่มเพื่อนที่สนใจในเรื่องนั้นๆ นะครับ เพราะว่ามันดีกว่า การที่เราจะกดเพิ่มเพื่อน โดยที่ไม่รู้ว่าใครชอบอะไร แต่ถ้าหากเรา กดเพิ่มเพื่อนที่ชอบในเรื่องที่เรา อยากจะเขียน ก็จะดีมาก เพราะมันทำให้เพื่อนของเราอยากที่จะลองอ่านในสิ่งที่เราเขียนดู และอยากติดตามเราตัวอย่าง สมมุติว่า เพื่อนๆ เขียนเรื่องสุขภาพ เพื่อนๆ ก็ลองหาเพจเกี่ยวกับสุขภาพดูนะครับ จากนั้นก็กดไปที่จำนวนคนที่กดไลค์ และตรงนั้นแหละครับ คือ กลุ่มคนที่สนใจในเรื่องที่เพื่อนๆ อยากจะเขียน จากนั้นให้ก็กดเพิ่มเพื่อนได้เลยครับและสมมุติว่า เพื่อนๆ ได้ทำสิ่งที่ผมบอกไปทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ จากนั้นก็ให้เพื่อนๆ เริ่มเขียนเรื่องที่อยากเขียน และโพสต์ลงได้เลยครับ และเพื่อนๆของเราทุกคนที่สนใจในเรื่องที่เราเขียนอยู่แล้ว ก็จะกดเข้ามาอ่านเองครับ และยอดไลค์ หรือยอดแชร์ อะไรต่างๆ ก็จะเป็นตัวบ่งบอกเรา เองครับว่า งานเขียนนี้ของเรา ดีหรือไม่ และคนชอบ หรือไม่ชอบ และผลตอบรับที่ตอบกลับมาจะเป็นตัวบ่งบอกให้เราได้รู้เองครับว่า เราควรแก้ไข และปรับปรุงอะไร ยังไง หรือตรงไหน และเราก็จะค่อยๆ พัฒนาฝีมือขึ้นเองครับเพื่อนๆ สามารถใช้ Facebook เป็นตัวในการเช็คผลตอบรับงานเขียนของเพื่อนๆได้นะครับ และดูสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ส่วนตัวผมเองก็ใช้วิธีการนี้ครับ แต่จะบอกว่า ใช้ก็อาจจะไม่เชิงเท่าไหร่ครับ เพราะส่วนตัวผมเริ่มต้นจากการเขียนบทความลงที่ Facebook เป็นที่แรกเลยครับ และก็ค่อยๆขัดเกลาพัฒนาฝีมือ และทักษะการเขียนของตัวเองมาเรื่อยๆ คำแนะนำ ผมแนะนำให้ใช้เป็น Facebook แบบส่วนตัวนะครับ ไม่ต้องสร้างเพจครับ ให้ใช้ Facebook ในรูปแบบปกติที่เราสามารถคุย และเพิ่มเพื่อนได้ เพราะถ้าใช้เป็นเพจคนจะเข้าถึงได้ยากครับ และก็จะใช้เวลานานมากครับเขียนยังไงให้มีคนอ่านเยอะๆ และอยากติดตามอ่านผลงานของเราคำตอบ คือ เขียนอย่างสม่ำเสมอ และสร้างสรรค์ครับ ผมอยากบอกเพื่อนๆ ที่เริ่มต้นการเป็นนักเขียนเลยนะครับว่า ต้องใช้ความอดทน และความพยายามที่สูงมากๆ เพราะมันไม่ใช่ว่า เราเขียนปุ๊บ ก็จะมีคนมาอ่านเลยทันที หรือจะมีคนมาคอมเมนต์ และมากดติดตามเราในทันทีเลย ไม่ใช่นะครับ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลานะครับ เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่า ตอนที่ผมเริ่มเขียนข้อคิด และคำคมการพัฒนาตัวเองผ่าน Facebook ในช่วงเริ่มแรก ผมเขียนทุกวันเลยนะครับ เขียนโพสต์ทุกวันเลย วันละหนึ่งคำคม บางครั้งก็อาจจะสองบ้างผมเพิ่มเพื่อนเป็นพันคนเลยนะครับ แต่รู้ไหมครับว่า ยอดไลค์ของผม หรือผลตอบรับ ที่ผมได้รับกลับมา คือ น้อยมากๆครับ อยู่แค่หลักสิบสาม และสี่สิบ ตอนผมเขียนครั้งแรกผมท้อไหม ผมบอกเลยครับว่า ท้อ และอยากเลิกมากครับ ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับว่า ที่ผมเขียนก็เพราะว่า ผมอยากสร้างฐานแฟนคลับสำหรับหนังสือของตัวเองในอนาคตครับ ผมเขียนทุกวันเลย ในช่วงแรกๆ คือ ผลตอบรับที่ได้ผมได้ คือ น้อยมากจริงๆ ครับ ผมก็แอบผิดหวัง และเศร้านะครับ เพราะข้อคิด และคำคมที่ผมเขียน ผมตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุด แต่ผลตอบรับ ที่ได้รับมานั้น มันกับตรงกันข้ามเลย แต่ผมก็อดทนทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอนะครับ ลงข้อคิด และคำคมอย่างสม่ำเสมอจนในที่สุด ก็เริ่มแล้วครับ เริ่มมีคนเข้ามาคอมเมนต์ เริ่มมีคนกดแชร์โพสต์ ผมดีใจมากครับ แบบในที่สุดก็มาแล้ว ผลตอบรับที่คาดหวังมานาน แต่ก็แค่นิดเดียวเองนะครับ โพสต์หนึ่งก็ไม่ถึงห้าแชร์ ยอดไลค์ก็ระดับเดิมครับ คอมเมนต์ก็สอง ถึงสามคอมเมนต์ บ้างก็ไม่มีเลยครับ และผมเองก็เคยมีความคิด ที่จะเลิกทำนะครับ เพราะดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลย การลงข้อคิด และคำคมทุกวัน เหมือนจะไม่ค่อยได้ช่วยเป็นประโยชน์อะไร ให้กับคนอื่นๆเลย และช่วงเวลาที่ผมคิดอยากจะเลิกทำ ในที่สุดสิ่งที่ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครสักคน ก็มาแล้วครับ มีเพื่อนๆ และพี่ๆ เริ่มส่งข้อความมาบอกกับผมว่า สิ่งที่ผมทำมันดีมากๆเลย เพราะมันสามารถช่วยเตือนสติ และทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ผมก็คิดในใจนะครับว่า เห็นไหมล่ะ สิ่งที่ผมทำมันมีประโยชน์ และช่วยเหลือคนอื่นๆได้จริงๆ แต่กว่าจะมีคนส่งข้อความเข้ามาเพื่อขอบคุณ ผมก็อดทนทำมาทุกๆวัน เป็นเวลา 3 - 4 เดือนเลยนะครับ ถ้าคิดเป็นวัน ก็คือ ผมทำมาตลอด 120 วันโดยที่ตลอดเวลานั้น ก็ไม่มีอะไรเลย แต่ผมก็อดทน และทำมาเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้สึกท้อก็ตาม จนในที่สุดสิ่งที่ผมคาดหวังมาตลอดว่า จะสามารถช่วยใครสักคนได้ มันก็เกิดขึ้นจริงๆ และก็ผมดีใจมากๆ หลังจากนั้นมาผมก็ยิ่งอยากทำให้มากเรื่อยๆ และก็มีกำลังใจการทำมากขึ้น โพสต์เยอะกว่าเดิม และจุดเปลี่ยนของการเขียน ก็ค่อยๆ เริ่มตรงนี้แหละครับจากที่เขียนแค่ข้อคิด และคำคม ผมก็เริ่มเขียนยาวขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นบทความ จนทุกวันนี้ ทุกข้อคิด คำคม และบทความที่ผมเขียนผลตอบดีมากๆครับ คุ้มค่ากับความอดทนที่ผมทำมา 1 ปีเต็มๆ มันทำให้ผมได้รู้จักกับพี่ๆ และเพื่อนๆ น้องๆ หลายๆคน ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายและพอผมคิดย้อนกลับไป ผมก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ในตอนนั้น มีความตั้งใจที่จะทำอย่างสม่ำเสมอ และมีความอดทน แม้ว่าจะรู้สึกท้อก็ตาม ที่ผมเล่าประสบการณ์นี้ ผมอยากให้เพื่อนๆ รู้ว่า ในตอนแรกเริ่มของการเริ่มทำอะไร ก็ตามมันต้องใช้เวลาเสมอครับ และบางสิ่ง บางอย่างมันก็ใช้เวลานานมากๆด้วยครับ เราท้อได้ครับ แต่อย่าล้มเลิกเด็ดขาดเลยนะครับ ต้องอดทน มันอาจจะใช้เวลานานถึงนานมาก แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ทุกสิ่งที่เราทำมันจะค่อยๆย้อนกลับมาหาเราเอง เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ ที่เราต้องใช้เวลาในการปลูก และดูแลนานมาก กว่าจะเติบใหญ่เพื่อให้ร่มเงากับเรา แต่เมื่อมันเติบโต ไปจนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ผลของการรอคอยที่แสนยาวนาน ก็แสนจะคุ้มค่าเคล็ดไม่ลับ แห่งความสำเร็จจากประสบการณ์การเขียนของผมมา 2 ปีนี้ ผมอยากบอกเพื่อนๆ ว่า ในการจะประสบความสำเร็จ เราต้องมี 3 สิ่งครับ คือ1. ต้องมีความสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยนะครับ ในเวลาที่เราพึ่งเริ่มต้น2. ต้องแตกต่าง ในเรื่องของความแตกต่าง เราจะค่อยๆ เรียนรู้ได้เองครับว่า เราควรจะทำให้แตกต่างยังไง แต่ความแตกต่างจะมาหลังจากที่เรามีความสม่ำเสมอ3. มีประโยชน์ สิ่งที่เราทำมีประโยชน์ต่อผู้อื่นยังไงเกร็ดความรู้เพิ่มเติมนะครับการเป็นมีตัวหนังสือมากเกินไป จะเป็นสิ่งที่จะทำให้คนไม่อยากที่จะกดเข้ามาอ่านงานเขียนของเรานะครับ เพราะจะทำให้คนอ่าน เกิดความรู้สึกหนักหน่วงสายตา และทำให้รู้สึกปวดตาได้ง่าย ดังนั้น หากบทความของเรามีตัวหนังสือมากเกินไป ก็ให้พยายามหารูปที่มีความสดใส ใส่ลงไปในบทความนะครับ เพื่อลดความรู้สึกหนักหน่วง และดึงดูดให้บทความของเรามีความน่าสนใจมากขึ้นเคล็ดไม่ลับเพิ่มเติม การตั้งชื่อ บทความ การมีส่วนสำคัญนะครับ พยายามตั้งชื่อให้บทความ ดูน่าสนใจนะครับ จะได้มีคนอยากจะกดเข้ามาอ่านเยอะมากขึ้นครับการใช้รูปภาพประกอบ ก็เป็นส่วนสำคัญด้วยครับ เพราะจะทำให้บทความของเราดูสนใจมากยิ่งขึ้น และดึงดูด ยิ่งเป็นรูปภาพที่สะดุดตา ยิ่งดีครับ ให้ลองพยายาม หารูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบทความที่เราเขียนดูนะครับ เพราะจะช่วยดึงดูดให้คนอยากจะกดเข้าอ่านเยอะมากยิ่งขึ้น และรูปภาพก็สามารถช่วยลดความหนักหน่วงของสายตาได้ด้วยครับสำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่รู้ว่า จะหารูปภาพมาจากที่ไหน ผมก็ขอแนะนำเว็บไซต์ที่ ผมใช้ในการหารูปภาพอยู่เป็นประจำนะครับเว็บไซต์ที่ 1. Unsplashเว็บไซต์ที่ 2. Pexelsทั้งสองเว็บไซต์นี้ เพื่อนหาสามารถค้นหารูปที่ตัวเองต้องการได้เลยนะครับ ฟรีครับ ไม่มีลิขสิทธิ์ แต่อย่างใดครับ เพื่อนๆ สามารถให้เครดิตเจ้าของภาพ หรือไม่ให้ ก็ได้นะครับ ไม่ได้มีการบังคับ (แต่ถ้าให้ก็จะดีมากๆเลยครับ เพราะเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าของรูปภาพครับ) เราสามารถใช้รูปภาพเหล่านี้ ได้อย่างอิสระครับไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร มีความรู้เรื่องอะไร หรือมีความสามารถเรื่องอะไร แต่อยากเขียน เริ่มต้นยังไงดีคำตอบ คือ เขียนประสบการณ์การต่างๆ ในชีวิตของตัวเองเลยครับ เพราะการเขียนแบ่งปันประสบการณ์ ในชีวิตส่วนตัวของตัวเราเอง เราจะสามารถเขียนออกมาได้อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เป็นสิ่งที่เราเคยเผชิญหน้า และได้ก้าวผ่านมาแล้ว การเขียนประสบการณ์ ไม่ต้องคิดอะไรมากเลยครับ แค่เขียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงของเราเลยการเขียนบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวเป็นทั้งการเขียนเพื่อความบันเทิง และการเขียนเพื่อแก้การปัญหาในเวลาเดียวกันเลย เพราะทุกประสบการณ์ของเรา ทุกๆคนที่ได้อ่านก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยว่า หากมีเหตุการณ์แบบที่เราเคยเผชิญหน้า พวกเขาควรจะรับมือยังไง หรือหาวิธีการป้องกันยังไง ทุกๆคนที่อ่านก็จะได้รับทั้งความเพลิดเพลินจากการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเรา และได้รับความรู้ และข้อคิดเพื่อไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเองด้วย การเขียนแชร์ประสบการณ์เป็นการเขียนที่สามารถทำได้ง่ายที่สุดเลยครับ เพราะทุกๆสิ่งล้วนผ่านการกลั่นกรองมาจากความคิดในหัวของเรา โดยไม่ต้องไปคิดอะไรเพิ่มเติม และการเขียนแชร์ประสบการณ์ก็สามารถเขียนได้ทุกเรื่องครับ ไม่จำกัดเรื่องในการเขียนและทั้งหมดนี้ คือ วิธีการเริ่มต้น การเขียนบทความจาก การเริ่มต้นจากศูนย์ และตัวผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ และทุกๆคนนะครับ และสุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้เพื่อนๆ ทุกๆคน ประสบความสำเร็จในการเริ่มต้นเป็นนักเขียนบทความนะครับ ขออวยพรให้ทุกๆคนโชคดีครับเครดิตภาพปกโดย sketchify / canvaเครดิตภาพประกอบทั้งหมดจาก unsplash ภาพที่1 โดย Marten Bjork ภาพที่2 โดย Ana Tavares ภาพที่3 โดย Gift Habeshaw ภาพที่4 โดย Lauren Mancke ภาพที่5 โดย Jess Bailey ภาพที่6 โดย Kate Stone Matheson ภาพที่7 โดย Damir Spanic ภาพที่8 โดย JESHOOTS.COM ภาพที่9 โดย Alejandro Escamilla ภาพที่10 โดย Romain V ภาพที่11 โดย Brooke Cagle ภาพที่12 โดย Icons8 Team ภาพที่13 โดย NeONBRAND ภาพที่14 โดย NeONBRAND ภาพที่15 โดย Brian Jones ภาพที่16 โดย Will Francis ภาพที่17 โดย Timothy Hales Bennett ภาพที่18 โดย Campaign Creators ภาพที่19 โดย Amy Hirschi ภาพที่20 โดย Volodymyr Hryshchenko ภาพที่21 โดย Damian Zaleski ภาพที่22 โดย Nick Morrisonร่วมเสพบทความ หนัง เพลง และซีรีส์ใหม่ ๆ สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !