อยากเป็น [นักเขียน] [นักเขียนมีอะไรดี] ทำไมใคร ๆ ถึงอยากเป็น ทั้งคนทำงานและว่างงาน ทั้งวัยเรียนหนังสือและวัยเกษียณ ทั้งอาชีพที่ใช้แรงทำงานและอาชีพที่ใช้สมองทำงาน ที่ยิ่งสนใจคือมีทั้งคนปกติทั่วไปและคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายที่อยากเป็นนักเขียน[นักเขียนคืออะไร] คำตอบง่าย ๆ คือถ้านักเรียน-เรียน นักเขียนก็-เขียน แต่ถ้ามันง่ายขนาดนั้นทำไมถึงใช้คำว่า[อยาก]เป็น ทำไมไม่[เป็น]ไปเลย ถ้านักเขียนก็แค่เขียน งั้นก็ลงมือเขียน เขียนเสร็จก็เป็นนักเขียนได้แล้ว[ไม่น่าง่ายขนาดนั้น] งั้นยากตรงไหน ความจริงก็ไม่ยากเพียงแต่ไม่ง่ายขนาดนั้น และจุดเริ่มต้นก็คือการ[ลงมือเขียน]จริง ๆ นี่คือคุณสมบัติแรกของคนที่อยากเป็นนักเขียน ก็เลยเกิดคำถามว่าแล้วจะเอาอะไรมาเขียน ทีนี้ที่ว่าง่ายก็ชักยุ่งขึ้นมานิดหนึ่ง คือต้องคิดว่าจะเขียนอะไรเพื่อจะได้เป็นนักเขียน แล้วจะเริ่มต้นคิดจากตรงไหน เอาอะไรเป็นตัวตั้ง นั่งทางในหรือหลับตาแล้วฝันถึงสิ่งที่อยากเขียน[ไม่น่าวุ่นขนาดนั้น] เพราะถ้า [การเขียนคือการนำออก]สิ่งที่อยู่ภายใน [การอ่านก็คือการนำเข้า]สิ่งที่อยู่ภายนอก ก่อนนำออกก็ต้องมีการนำเข้า เพราะฉะนั้น [การอ่าน] จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ [การเขียน] นั่นเอง พอรู้อย่างนี้คนที่อยากเป็นนักเขียนก็ต้องอ่าน อ่านในทีนี้อาจดูเหมือนไม่มีข้อจำกัด ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่มีข้อจำกัดแต่ถ้าอ่านแบบไม่จำกัดประเภทของหนังสือสมองก็กว้างใหญ่ไพศาลไม่พอจะเก็บข้อมูล คนที่อยากเป็นนักเขียนจึงควรถามตัวเองว่าเรา [อยากเขียนอะไร] นั่นคือเลือก [อ่านสิ่งที่อยากเขียน] ก่อนเป็นลำดับแรก ถ้าอยากเขียนนิยายก็อ่านนิยาย อยากเขียนแนวเยาวชนก็อ่านวรรณกรรมเยาวชน ถ้าอยากเขียนบทกวีหรือเรื่องสั้น ก็สรรหาหนังสือประเภทนั้นมาอ่าน และนี่ก็คือ [ทางลัด][เริ่มง่ายขึ้นแล้ว] เมื่ออ่านสิ่งที่อยากเขียนนั่นหมายถึงอ่านสิ่งที่ชอบ การอ่านสิ่งที่ชอบจะทำให้ซึมซับเนื้อหาและวิธีการเขียนได้ดีกว่า พออ่านมากก็เข้าใจมาก พอเข้าใจมากทีนี้ภายในก็พลุ่งพล่าน เรียกว่า [กระบวนการนำเข้าสำเร็จ] จากนี้ก็คือ [กระบวนการนำออก] ว่าแล้วก็เปิดเครื่องแล้วเริ่มพิมพ์อักษรตัวแรกไปจนกระทั่งจบบริบูรณ์[ได้เป็นนักเขียนแล้ว] ยัง! การเขียนจบยังไม่อาจเป็นนักเขียนได้ ไม่งั้นคนที่เขียนบันทึกไว้อ่านคนเดียวก็เป็นนักเขียนด้วย แม้นักเขียนก็คือ-เขียน แต่นักเขียนต้องทำมากกว่านั้น คือเขียนจบก็ต้องหาช่องทาง[เผยแพร่]ให้คนอื่นได้อ่าน เพราะนี่ไม่ใช่การเขียนบันทึกส่วนตัวที่เขียนจบก็เก็บใส่ลิ้นชัก แต่ขณะเดียวกันบันทึกส่วนตัวก็สามารถทำให้คนเขียนเป็นนักเขียนได้ ถ้าถูกเผยแพร่ให้คนอื่นอ่านด้วย[ชักจะกลับมายุ่งเหมือนเดิม] ความจริงไม่ยุ่งและง่ายกว่าที่คิดมาก ถ้าทำความเข้าใจให้ชัดว่าการเป็นนักเขียน [ไม่ใช่อยากเป็นแล้วจะได้เป็น] แต่ในเมื่อนักเขียนมีหน้าที่เขียน คนที่อยากเป็นนักเขียนก็จงเขียนและหาช่องทางเผยแพร่ผลงาน ในที่สุดจะรู้ด้วยตัวเองว่า...[นักเขียน] ไม่ต้องอยากเป็น แต่ [งาน] จะทำให้ [เป็น] ด้วยตัวของงานเองขอบคุณรูปจาก Pixabayรูปปก / รูป 1 / รูป 2 / รูป 3 / รูป 4บทความอื่นของ f i l e b y N o r