สถานการณ์ของโรคระบาดโควิด19 อยู่กับเราทุกคนมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ถึงจะนานแต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราชินกับมัน เพราะโรคมีการกลายพันธุ์ไปอย่างต่อเนื่อง ขยายสายพันธุ์และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อาการของโรคก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราแทบจะตามไม่ทัน หากใครเผลอไม่ได้ติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องอาจจะพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไปได้ และอาจกระทบต่อการป้องกันตัวเอง โควิด 19 คืออะไร ? ไวรัสโคโรนา หรือ โควิด 19 (COVID-19) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการปอดอักเสบและเป็นเหตุทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เป็นเวลาเนินนานกว่า 2 ปี ที่ไวรัสชนิดนี้ได้เข้ามา โดยทำให้เกิดการติดเชื้อไปแล้วกว่า 32 ล้านคนและเสียชีวิตเกือบ 1 ล้านคนทั่วโลก ในปัจจุบันเชื้อไวรัสโคโรนาได้เกิดการกลายพันธุ์ไปอย่างมากมายโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้าหรือเดลต้าพลัสที่กำลังระบาดในประเทศไทย โดยเจ้าเชื้อกลายพันธ์นี้สามารถทำให้ผู้คนเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปอดอักเสบที่รุนแรงและรวดเร็วจนเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตที่สูงมาก เชื้อไวรัสโคโรนาสามารถแพร่กระจากผ่านสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย น้ำมูก ที่กระจายอยู่ในอากาศหรือติดอยู่กับพื้นผิวพัสดุต่างๆ จากการไอหรือจาม เมื่อผู้อื่นมาสัมผัสสารคัดหลั่งจากการสูดเอาฝอยละอองเข้าไปผ่านการหายใจ หรือสัมผัสผ่านเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ เช่น เยื่อบุตา ก็จะเกิดการติดเชื้อได้ เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกายแล้วจะทำให้เกิดการติดเชื้อโดยใช้เวลาตั้งแต่เริ่มฟักตัวไปจนถึงการทำให้เกิดอาการแสดงในช่วงเวลา 2-14 วัน ในปัจจุบัน “ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์” ได้ชี้แจงแนวทางการประเมินอาการความรุนแรงของผู้ป่วยยืนยันว่าติด Covid 19 แบ่งเป็นระดับได้ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับแรก อาการสีเขียว คือ อาการเบื้องต้นของผู้ป่วยที่เริ่มติด Covid 19 มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดปกติ ระดับสอง อาการสีเหลือง คือ ผู้ป่วย Covid 19 เริ่มจะมีอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หายใจติดขัด และมีอาการปอดอักเสบ ระดับสาม อาการสีแดง คือ ผู้ป่วย Covid 19 อาการหนัก หอบเหนื่อย ปอดบวมแน่นหน้าอก และพูดติดขัด ใครมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง ? ผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด ผู้ที่ทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคโควิด-19 คือ มีการพูดคุยกับผู้ป่วยระยะไม่เกิน 1 เมตรนานกว่า 5 นาที หรือถูกผู้ป่วยไอจามใส่โดยไม่ได้ป้องกันตนเอง หรืออยู่ในสถานที่ปิดไม่มีการถ่ายเทอากาศร่วมกับผู้ป่วยนานกว่า 15 นาที และอยู่ห่างกับผู้ป่วยโดยไม่มีการป้องกันในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่มีความเสี่ยงข้างต้นควรเริ่มกักตัวเอง และแยกตัวออกจากผู้อื่นแล้วสังเกตอาการตนเองตามเกณฑ์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น หากมีอาการใดๆ ปรากฏขึ้นควรเข้ารับการตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อ Work Point Today ได้รวบรวมข้อมูลและอธิบายวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยอ้างอิงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก่อการตรวจหาเชื้อโรค "โควิด-19" ได้แก่ Real-time RT PCR ซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานตามคำแนะนำของ WHO การตรวจด้วยวิธีนี้มีข้อดีคือ มีความไว มีความจำเพาะสูง สามารถทราบผลภายใน 3-5 ชั่วโมง ส่วนการตรวจอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า Rapid Test แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Antibody) ตรวจโดยใช้การ “เจาะเลือด” เพื่อนำไปตรวจหาภูมิคุ้มกัน สามารถทราบผลได้ใน 15 นาที การตรวจวิธีนี้จะทำได้หลังมีอาการป่วย 5-7 วัน หรือได้รับเชื้อมาแล้ว 10-14 วัน ร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต้านเชื้อโรค ซึ่งวิธีนี้จะไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปตรวจด้วยตนเองนะคะ เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 2. การตรวจหาเชื้อ (Antigen) ตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งโดยการแยงจมูกหรือลำคอ ต้องได้รับเชื้ออย่างน้อย 5-14 วัน ถึงจะรู้ผลได้แม่นยำประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อชุดตรวจได้เองได้ที่ร้านขายยา หรือสถานพยาบาล ดังนั้น Rapid Antigen Test จะเป็นตัวที่เราสามารถตรวจได้ด้วยตัวเองและรู้ผลภายใน 30 นาที อย่างไรก็ตามเราจะมาขยายความเรื่องการตรวจ Rapid Antigen Test ในบทความต่อไปนะคะ แน่นอนว่าการป้องกันการติดเชื้อย่อมดีกว่าการรักษา นอกจากการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่างทางสังคมแล้วยังมีสิ่งสำคัญที่เราสามารถทำได้โดยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย วันนี้เราจึงมีแนวทางมาฝาก ดังนี้ พักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายด้วยความหนักระดับปานกลางอย่างสม่ำเสมอ 3-5 วันต่อสัปดาห์ ดื่มน้ำให้พอเพียง อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยอาจะรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินดี สังกะสี (ซิงค์) เป็นต้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้เชื่อว่า ทุกคนอยากให้มันผ่านไปได้เร็ว ๆ ผู้เขียนก็เช่นกัน แต่เมื่อเรายังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะผ่านไป เราทุกคนต้องเข้มแข็งและป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน :) อ้างอิง [1] ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ [2] Work Point Today [3] คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน สู้! โควิด-19ไปด้วยกัน โดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เครดิตภาพประกอบ ภาพปก/ภาพ1/2/3/4 : Thanatporn S. / Canva เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !