สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายเปิดมาได้สักพักนึงแล้ว เราไปเดินเล่นย่านสถานีรถไฟใต้ดินอิสรภาพกัน ภายในสถานีรถไฟใต้ดินอิสรภาพตกแต่งเป็นลายหงส์ ได้รับแรงบันดาลใจจากวัดหงส์รัตนาราม เดินออกจากสถานีอิสรภาพเลี้ยวขวามาไม่ไกลก็จะเจอซอยอิสรภาพ 38 (ซอยวัดหงส์รัตนาราม) เดินเข้าไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอ วัดหงส์รัตนาราม ซึ่งเป็นวัดโบราณมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สร้างโดยเจ้าสัวหงซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดเจ้าสัวหงส์ พ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ขยายอาณาเขตวัดให้กว้างขึ้น สร้างกุฏิและเสนาสนะทั้งพระอาราม พระราชทานนามใหม่ “วัดหงส์อาวาสวิหาร” โดยสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ประทับที่วัดนี้ในสมัยธนบุรี ต่อมารัชกาลที่ 4 พระราชทานชื่อ "วัดหงส์รัตนาราม" ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปที่เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านมากว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คือ "หลวงพ่อแสน" ประดิษฐานอยู่หน้าพระประธาน เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย เนื้อสัมฤทธิ์นวโลหะ สร้างที่เมืองเชียงแตง ปัจจุบันคือเมืองสตึงเตรงในกัมพูชา ส่วนพระประธานในวัดไม่มีชื่อและไม่ทราบประวัติความเป็นมา บนกรอบประตูและหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีกรอบไม้จำหลักมีภาพจิตรกรรมเรื่องรัตนพิมพวงศ์ (ประวัติพระแก้วมรกต) นอกจากนี้ ในวัดหงส์ยังมีพระพุทธรูปงดงามอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำ 1 ใน 3 ในกรุงเทพ กำหนดอายุสมัยสุโขทัยรุ่นเดียวกันกับพระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตรวิทยาราม เดิมพระพุทธรูปถูกปูนพอก กระทั่งพ.ศ. 2499 พระสุขุมธรรมาจารย์เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามขณะนั้นพบรอยกะเทาะของปูนหุ้มที่พระอุระหลุดออกจึงเห็นเนื้อในเป็นพระพุทธรูปทองสีสุกปลั่ง เกตุมาลาเปลวเพลิง จีวรเรียบ ชายสังฆาฎิจรดพระนาภี นั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ภายในวัดหงส์ยังมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย เล่ากันว่าพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อไปออกรบมาจะเอาดาบมาจุ่มที่สระน้ำนี้ และสมเด็จพระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) ฝังอาคมพุทธมนต์ทั้งสี่ทิศของสระน้ำมนต์ คนที่อาบหรือดื่มน้ำมนต์ในสระทิศตะวันออกจะดีทางเมตตามหานิยม ทิศใต้ดีทางมหาลาภและค้าขาย ทิศเหนือดีทางบำบัดทุกข์โศกโรคภัย และทิศตะวันตกดีทางแคล้วคลาดคงกระพัน เดินออกจากวัดหงส์มาไม่ไกลจะพบกับ มัสยิดต้นสน มัสยิดเก่าแก่สร้างตั้งแต่ปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อพ.ศ. 2231 โดยเจ้าพระยาราชวังสันเสนีย์ รูปทรงคล้ายศาลาการเปรียญวัดพุทธ สมัยรัชกาลที่ 2 ชาวมุสลิมในคลองบางกอกใหญ่ร่วมมือกันบูรณะใหม่เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ปี 2495 อาคารทรุดโทรมมากจึงสร้างใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก และปลูกต้นสนคู่หน้าประตูกำแพงมัสยิด จึงเรียกว่ามัสยิดต้นสน ภายในมัสยิดมีเรือนขนมปังขิงลวดลายฉลุงดงามมาก บ้านขนมปังขิงนิยมสร้างกันมากในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่น่าเสียดายที่เรือนไม้หลายหลังที่เราเคยเห็นในประเทศไทยไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร หลายหลังทรุดโทรมลงมากทีเดียว จากมัสยิดต้นสนเราเดินข้ามถนนไป วัดโมลีโลกยาราม วัดแห่งนี้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเดิมจึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาในสมัยธนบุรี เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์จึงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะพระราชวังเดิมขนาบข้างทั้งวัดอรุณและวัดโมลีโลกยารามขยับขยายไม่ได้ ความสำคัญของวัดโมลีโลกคือเป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดิน 4 รัชกาลเป็นอย่างน้อยทรงบูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม และเป็นสถานที่ศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นของพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อยังทรงพระเยาว์ และพระราชโอรสเหล่านั้นได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน 3 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ถัดจากวัดโมลีโลกไปไม่ไกลคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ 2 พระองค์โปรดให้สร้างพระปรางค์ใหม่แทนพระปรางค์เดิมสมัยอยุธยา แต่ยังไม่ทันเสร็จก้สิ้นรัชกาลเสียก่อน รัชกาลที่ 3 จึงบูรณะต่อเป็นพระปรางค์สูงใหญ่ทรงจอมแห และน่าจะเป็นการสร้างพระปรางค์ใหญ่ครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นความนิยมสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ก็ลดน้อยลง ระเบียงคดรอบพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 120 องค์ และหน้าระเบียงคดมีหินอับเฉาแกะสลักเป็นตุ๊กตาจีนล้อมรอบ พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถ กล่าวกันว่ารัชกาลที่ 2 ปั้นพระพักตร์ของพระพุทธรูป และรัชกาลที่ 4 อัญเชิญพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 มาบรรจุที่ฐานชุกชีของพระพุทธรูป เดินชมสามวัดและหนึ่งมัสยิดแล้ว หาที่นั่งพักกันดีกว่า จากวัดอรุณเดินข้ามถนนมาไม่ไกล ร้านชื่อแปลก เมียจ๋า ขายอาหารจานเดียว เมนูหนึ่งแผ่นหน้าหลังอาจจะไม่มาก แต่ก็มีให้เลือกหลากหลายทั้งหมู ไก่และกุ้ง ราคาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 60 บาทถือว่าไม่แพงเลย ข้าวไก่ทอดราดซอสคั่วกลิ้ง (60 บาท) คั่วกลิ้งรสชาติอร่อยใช้ได้ แต่จะไม่เผ็ดมากเท่าร้านอาหารใต้และไม่หนักขมิ้น เป็นการลดเผ็ดลงมาแต่ยังรสชาติดี ส่วนต้มมะระน่องไก่ (60 บาท) ให้น่องไก่ต้มจนนุ่มมาสองน่อง รสชาติน้ำซุปอร่อย มะระไม่ขมมาก อิ่มท้องอิ่มใจ ได้เวลากลับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า 😀