หากพูดถึง เนื้องอก (tumor) มั่นใจได้ว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในร่างกายของตัวเองอย่างแน่นอน แต่สำหรับเนื้องอกในพืชนั้นมีความน่าสนใจและมีประโยชน์อย่างมากมาย ก้อนเนื้องอกในพืชที่พบตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้เมื่อพืชมีบาดแผลและแบคทีเรียสาเหตุโรคพืชเข้าจู่โจม แล้วจากนั้นเนื้อเยื่อพืชบริเวณแผลจะเกิดการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นก้อนคล้ายเนื้องอก มีลักษณะเป็นปุ่มปม พบได้ทุกส่วนของพืช เช่น ลำต้น กิ่ง ใบ และราก แต่ทราบหรือไม่ว่า ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เรียกว่า เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (plant tissue culture) สามารถกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกที่เรียกว่า แคลลัส (callus) มีลักษณะคล้ายกับเนื้องอกของพืชในธรรมชาติ ซึ่งแคลลัสนี้มีประโยชน์ในเชิงการเกษตรและอุตสาหกรรม อีกทั้งกระบวนการผลิตก็จัดว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กล่าวได้ว่ามีคุณค่าทางเศรษฐกิจตามระบบ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ทันต่อกระแสของสถานการณ์โลกในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (plant tissue culture) นับว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ใครได้ยินจะต้องร้อง ว้าว! อีกต่อไป เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชมีข้อดี คือ เป็นกระบวนการที่ทำในห้องปฏิบัติการ จึงไม่ต้องประสบปัญหาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนี้ยังใช้ตัวอย่างพืชเริ่มต้น (explant) จำนวนน้อยมากก็เพียงพอสำหรับการเพิ่มจำนวนต้นพืชจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าใช้ตายอดของพืชจากธรรมชาติเพียง 1 ยอด ก็สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชประมาณ 5,000 ถึง 10,000 ต้น ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ดังนั้นจึงเป็นเทคนิคที่นิยมนำมาใช้เพื่อการผลิตต้นพันธุ์พืชที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ทั้งไม้ผล และไม้ดอกไม้ประดับ หลากหลายชนิด เช่น กล้วยไม้ กล๊อกซิเนียร์ และกล้วย เป็นต้นนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาให้เป็นที่สนใจของคนรักต้นไม้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การชักนำให้เกิดดอกของต้นไม้จิ๋วในขวด หรือการชักนำให้มันฝรั่งสร้างหัวซึ่งก็คือรากสะสมอาหารในขวดได้อีกด้วยเนื้องอก หรือ แคลลัส ของพืช สามารถชักนำให้เกิดขึ้นด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งอวัยวะของพืชทุกชนิดสามารถชักนำให้เกิดแคลลัสได้ เช่น ลำต้น แผ่นใบ และ ราก เมื่อได้รับสารอาหารและสภาวะที่เหมาะสมแคลลัสเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์พาเรนไคมา (parenchyma) มีการเจริญเพิ่มจำนวนได้ไม่จำกัด และเมื่อต้องการชักนำให้แคลลัสเจริญพัฒนาไปเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ก็สามารถทำได้ โดยการเปลี่ยนสูตรอาหารหรือสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด แคลลัสมีหลายสีตามรงควัตถุที่อยู่ในเซลล์ เช่น สีเขียว สีแดง สีม่วง เป็นต้น สามารถจำแนกแคลลัสตามคุณสมบัติทางกายภาพและพื้นผิว ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่friable callus มีลักษณะอ่อนนุ่ม เกาะตัวกันหลวมๆcompact callus มีลักษณะแข็ง เซลล์เกาะตัวกันแน่นเมื่อมีการศึกษาเทคนิคที่เหมาะสมในการสร้างแคลลัสของพืชได้แล้ว จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้หลายประการ เช่นเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์พืชที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น พืชสายพันธุ์ทนเค็มเพื่อผลิตพืชปลอดโรค เช่น พืชปลอดไวรัสเพื่อผลิตสารสำคัญที่มีฤทธิ์เป็นยา และเครื่องสำอางปัจจุบันมีกระบวนการผลิตสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากแคลลัสของพืชหลายชนิด ที่พัฒนาไปสู่ระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น สารชิโคนิน (Shikonin) จาก แรดิชสีม่วง (Lithospermun erythrorhizon) มีการทำไปเป็นส่วนประกอบของยาที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และนำไปพัฒนาเป็นส่วนผสมในลิปสติกและสบู่ เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแคลลัสพืชจึงเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเกษตรและอุตสาหกรรมในยุคเศรษฐกิจ BCG ที่น่าสนใจติดตามต่อไปเครดิตภาพ : ภาพปกและภาพประกอบทุกภาพ โดย SaltLegumeเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !