ท้องฟ้ามืดครึม สายลมเย็นที่พัดผ่าน กลิ่นไอของโอโซนที่ลอยมาในอากาศก่อนช่วงเวลาฝนตก บวกกับเสียงท้องฟ้าที่กำลังคำรามดัง “ ครืน ครืน ” เป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งถึงสายฝนที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า มันทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาของฉันไหลพรากท่ามกลางสายฝนที่โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นดัง “ ซู่ ซู่ ” กลบเสียงสะอื้นของฉันได้เป็นอย่างดี แม้เวลาผ่านมาเนินนานแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่อาจลืมเขาได้เลย ภาพจาก https://pixabay.com ย้อนกลับ15 พฤษภาคม 2015 เป็นวันที่ฉัน “ หลิน ” ได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียน คุณครู ครอบครัว เพื่อนๆ บรรดาเหล่าแฟนคลับของฉันต่างก็ดีใจ และแสดงความยินดีกับฉันกันทุกคน เพราะนี่คือสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากที่จะทำมันสักครั้งก่อนที่จะจบการศึกษาของที่นี่ แต่ใครจะรู้ว่าการประสบความสำเร็จของฉันในครั้งนี้มันต้องแลกมาด้วยน้ำตา ด้วยภาระงาน หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ทำให้นิสัยของฉันก็เปลี่ยนไป จากคนที่เคยอารมณ์ร้อนก็เปลี่ยนมาเย็นขึ้น นิ่งขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นนิสัยของของฉันเลยคือการดูแลคนรอบข้าง ฉันมีคนที่ต้องดูแล เอาใจใส่มากมายจน ฉันลืมที่จะใส่ใจคนสำคัญที่สุดของฉันไป ฉันสามารถดูแล รักษา ความสัมพันธ์ของคนมากมายได้แต่ฉันไม่สามรถรักษา “ พี่ทิวเขา ” คนรักของฉันไว้ได้เลยในวันที่ฉันเห็นพี่ทิวเขาชายอันเป็นที่รักของฉันนั่งพลอดรักอยู่กับหญิงอื่นที่คอนโดในห้อง ที่มันควรจะเป็นที่ของเราสองคนแต่ตอนนี้เขากลับเอาคนอื่นเข้ามาในที่ของเรา“ พี่ทิวเขา....พี่กำลังจะทำอะไรนะ ” หลินถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ หลินคือพี่....... " ทิวเขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“ พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ " ครั้งนี้ทิวเขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ ที่หลินเคยได้ยิน“ ค่ะ ” หลินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือบวกกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มภาพจาก https://pixabay.com วันนั้นความรู้สึกของฉันดับวูบ สายตาพร่ามัว หัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ แขนขาอ่อนแรง ฉันไม่สามรถทนดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อีกแล้ว ฉันตัดสินใจปิดประตูอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง ค่อยๆ เดิน (แกรมคลาน) ออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมนั้น ที่ที่เคยเป็นของเรา มันไม่มีอีกแล้ว เสียงของพี่ทิวยังคงก้องดังอยู่ในหัวของฉันซ้ำๆ ภาพวันวานของเรายังคงฉายขึ้นในความรู้สึกของฉัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงวันที่เราสองคนต้องเลิกกัน ทั้งที่เราเคยรักกันมากแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ต้องจากกัน ฉันเดินมาเรื่อยๆ ในเวลาฝนตก บวกกับเสียงฟ้าร้องแบบนี้คงจะไม่มีใครสังเกตเห็นฉันที่กำลังร้องไห้อยู่หรอก ฉันเดินต่อสวนสาธารณะที่ประจำที่เราเคยมาด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของฉันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฉันเดินอย่างคนไร้จิตวิญญาณภาพจาก https://pixabay.com พอรู้ตัวอีกทีร่างกายของฉันก็กำลังจะจมลงไปในคลอง ตอนนั้นฉันคิดเพียงอย่างเดียวว่าฉันต้องตายแน่ๆ ในเวลาที่ฝนตกแบบนี้คงไม่มีใครสังเกตเห็นเช่นเดียวกับตอนที่ฉันร้องไห้ ฉันได้แต่ภาวนาว่า “ ขอให้เราได้รักกันอีกนะพี่ทิวเขา ” แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงร่างของฉันกำลังจะจมลงสู่ก้นคลอง แล้วก็มีเสียงเรียกหนึ่งกำลังร้องเรียกฉัน ฉันก็ตื่นขึ้นมาในห้องสีขาววินาทีนั้นคือฉันตายแล้วแน่ๆ แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ ฉันยังไม่ตายตลอดการเดินทางของฉันที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งคอยเดินตาม คอยเฝ้ามองทุกการกระทำของฉันอยู่ห่างเสมอ แม้แต่ในวันที่เกือบจะตาย เขาคนนี้ก็ยังคงเป็นที่มาช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนความรัก ความห่วงใยของชายคนนี้ได้อย่างไรถึงจะเพียงพอเทียบเท่ากับสิ่งที่ชายคนมอบให้ฉัน ชายคนนี้ที่ฉันเรียกว่า “ พ่อ ” ตั้งแต่วันนั้นมานี่ก็ 5 ปีเต็มแล้ว แต่ฉันคนนี้ก็ยังไม่สามารถลืมเขาได้เลยสักวินาที ได้แต่หลอกตัวเองและใครต่อใครว่าฉันลืมแล้ว ฉันเข้มแข็งแล้ว ฉันไม่เสียใจแล้ว แต่ในทุกครั้งที่ฝนตกความรู้สึกของฉันที่ฝืนเก็บเอาไว้ในก้นบึ่งของหัวใจก็จะกลับมาเชิดฉายพร้อมเสียงฝนอีกครั้ง ถ้าในวันนั้นฉันไม่ไปที่ห้องนั่นก็อาจจะไม่ยังไม่ต้องเสียใจก็ได้ ถ้าในวันนั้นฉันมีสติมากกว่านี้ก็คงจะไม่จมน้ำ แล้วถ้าในวันนั้นพ่อไม่บังเอิญเจอฉันแล้วแอบตามฉันไป ฉันคนนี้ก็จะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่ามันตอกย้ำฉันเสมอว่า“ รักคนอื่นได้แต่อย่าลืมที่จะรักตัวเองด้วย ” ฉันเกือบตายเพราะรักคนอื่นมากเกินไป จนลืมที่จะรักตัวเอง ฉันหวังว่าทุกคนเมื่อได้อ่านเรื่องของฉันแล้วคงจะหันกลับมารักตัวเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็อย่าลืมที่จะรักและดูแลคนที่รักเราด้วย ไม่ว่าจะเสียใจอีกครั้งขอให้ทุกคนมีสติ ลองหันหลังกลับไปแล้วคุณจะเจอคนที่รักและคอยเป็นห่วงคุณอยู่ เพราะคุณหรือฉันอาจไม่มีโอกาสที่จะได้แก้ไขมันเป็นครั้งที่สองก็ได้“ อย่าลืมรักตัวเอง ” ภาพจาก https://pixabay.com ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสเด็กคนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่