เมื่อต้องสอนลูกเรียนรู้เรื่องวัน เวลา วันและเวลามีบทบาทสำคัญกับการดำเนินชีวิตของคนเราในทุกๆด้าน การสอนเด็กเล็กให้เข้าใจในเรื่องของวันและเวลาถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างหนึ่ง จากการที่เด็กๆ หยุดเรียนหลายวัน เด็กหลายๆ คนจึงมีคำถามกับคุณพ่อคุณแม่ว่า “เมื่อไหร่หนูจะไปโรงเรียน” คุณพ่อคุณแม่เองก็สอบถามมาทางคุณครูและทราบคำตอบแล้ว แต่จะบอกลูกให้เข้าใจยังไงดีนะเพราะลูกยังไม่เข้าใจเรื่องวัน เวลา หลายครอบครัวมักเจอปัญหานี้ใช่มั้ยคะ จากคำถามนี้ ครูแกมคิดว่าเป็นช่วงเวลาทองที่คุณพ่อคุณแม่จะถือโอกาสนี้สอนลูกๆ ค่ะ วันนี้ครูแกมมีเทคนิคในการสอนให้เด็กเข้าใจเรื่องวัน เวลา ด้วยการสอนผ่านปฏิทินมาฝากค่ะ ถึงแม้ว่าเด็กเล็กๆ จะยังไม่เข้าใจเรื่องตัวเลขและจำนวน จึงไม่เข้าใจเรื่องวัน เวลา แต่มีเหตุผลที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องสอนเรื่องวัน เวลาให้ลูกๆ ค่ะ อย่างแรกเลยคือในแต่ละวันมีเวลาเป็นสิ่งที่กำหนดให้เด็กๆ ทำอะไรตามเวลา เราอาจสอนเป็นช่วงเวลาใหญ่ๆ ก่อนสำหรับเด็กเล็กๆ เช่น ตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็น และตอนกลางคืน เริ่มจากการสอนให้เด็กๆ ทำกิจวัตรประจำวันเป็นเวลา เมื่อทำได้แล้วก็แปลว่าเด็กๆ มีวินัยโดยที่ไม่รู้ตัว และการรู้จักวัน เวลาทำให้เด็กๆ อดทนและรอคอยได้มากขึ้น การสอนเรื่องวัน เวลาให้เด็กๆ ก็เหมือนกับการฝึกวินัย คือ สอนครั้งเดียวไม่จบ แต่ค่อยๆ สอน ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร ตอนไหน ก็ใช้วิธีบอกให้เด็กๆ นึกภาพออก เช่น “ลูกจะเล่นได้จนถึงแม่ทำกับข้าวเสร็จ แล้วไปอาบน้ำ แต่งตัวไปกินข้าวกันนะ” “แม่ล้างจานเสร็จ ค่อยไปอ่านนิทานกันนะ” เป็นต้นค่ะ แต่การพูดของคุณพ่อคุณแม่แค่ครั้งสองครั้งเด็กๆ ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องเวลา ยิ่งถ้าไม่ค่อยได้ฝึกมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะให้รอระยะเวลาเท่าไหร่สำหรับเด็กก็เท่ากันหมดค่ะ เพราะเด็กวัยนี้พูดปุ๊บก็ต้องเดี๋ยวนี้ปั๊บ แต่ถ้าเด็กได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรทำก่อนทำหลัง เด็กจะเข้าใจเรื่องเวลามากขึ้น ดังนั้นการฝึกง่ายๆ จึงฝึกไปพร้อมๆ กับการทำกิจวัตรประจำวันค่ะ นอกจากเด็กๆ จะไม่เข้าใจเรื่องเวลาแล้ว วัยนี้ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องวันด้วย แต่เด็กๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้นะคะ ผ่านปฏิทินนั่นเองค่ะ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่อง วัน เดือน ปี ง่ายๆ ผ่านปฏิทิน ที่เด็กๆ อาจเคยเห็นและรู้จักกันมาบ้างแล้วจากที่โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนเกี่ยวกับองค์ประกอบของปฏิทินให้เด็กเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น ในปฏิทินจะประกอบไปด้วย วัน เดือน ปี นอกจากนี้เด็กยังได้เชื่อมโยงเกี่ยวกับทักษะทางคณิตศาสตร์ ในเรื่องวัน เดือน ปี ตามปฏิทิน ได้แก่ การนับวันที่ 1 ถึง 30 บางเดือนมี 31เฉพาะเดือนที่ลงท้ายคำว่า “คม” หรือในหนึ่งสัปดาห์มี 7 วัน คือ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นภาษาที่เด็กควรได้รับการฝึกอ่าน เขียนด้วยค่ะ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสอนให้เด็กอ่านปี พ.ศ. และปี ค.ศ. ที่พิมพ์อยู่ในปฏิทินได้อีกด้วย และเป้าหมายสำคัญของการรู้จักวันในสัปดาห์ก็เพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนรู้การวางแผนหรือจัดตารางเวลาได้ด้วยตัวเอง ครูแกมมีวิธีฝึกโดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ค่ะ • แปะกระดาษสี คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้เด็กๆ เรียนรู้ความต่อเนื่องของวัน เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจลำดับวันก่อนหลังหรอกนะคะ เด็กไม่เข้าใจหรอกว่าจันจันทร์จะมาก่อนวันพุธ แต่เด็กเข้าใจและเรียนรู้เรื่องความต่อเนื่องได้ค่ะ เทคนิคก็คือให้คุณพ่อคุณแม่ตัดกระดาษสีแทนวันที่ต่างกันๆ เมื่อจบแต่ละวันก็ให้เด็กแปะกระดาษสีลงบนกระดาษต่อๆ กันไปเป็นทอดๆ • นับวันถอยหลัง เริ่มจากคุณพ่อคุณแม่อาจกำหนดวันพิเศษของเดือน เช่น วันไปเที่ยวของครอบครัว (ไม่ควรกำหนดให้ไกลเกินไป เด็กวัยนี้ความสุขตรงหน้าสำคัญที่สุด) “อีก 4 วันเราจะไปเที่ยวบ้านปู่กัน” ทำเครื่องหมายหรืออาจติดสติ๊กเกอร์บนวันที่ให้เด็กเห็น และสอนให้เด็กนับถอยหลังทุกวัน ให้เด็กเป็นคนทำเครื่องหมายบนปฏิทินเอง เมื่อถึงวันที่กำหนดคุณพ่อคุณแม่ก็พาไปตามที่ตกลงกันไว้ค่ะ ในช่วงการสอนระยะแรกวันที่กำหนดควรเป็นสิ่งที่เด็กชอบ อยากทำ และอยากไปก่อนนะคะ พอเด็กเริ่มเข้าใจแล้วคุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มกำหนดวันที่เด็กรู้สึกว่าไม่อยากทำ เช่น ไปหาหมอฉีดยา เพราะเป็นสิ่งที่เด็กกลัวไปทีไรร้องไห้ทุกที การที่กำหนดวันไว้เพื่อให้เด็กรับรู้และเตรียมทำใจไว้ก่อนค่ะ พอถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ เด็กก็จะไม่ได้กลัวมากหรือลดความกลัวลงได้ค่ะการสอนเด็กๆ ให้นับวันในแต่ละเดือนจากปฏิทินแบบทั่วไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถเพิ่มความสนุกและตื่นเต้น โดยให้เด็กมีส่วนร่วมทำปฏิทินแบบแขวนผนัง โดยทำเป็นปฏิทินขนาดใหญ่ ตอนนี้เองที่เด็กๆ จะเริ่มเรียนรู้เรื่องวันและตัวเลขของเดือนแต่ละเดือนและคุณพ่อคุณแม่สอนเด็กว่าเดือนนี้มีวันหยุดหรือเหตุการณ์สำคัญอะไรที่เด็กอยากบันทึกลงไปบ้าง โดยให้เด็กเลือกวันและออกมาวาดภาพเป็นสัญลักษณ์ในช่องที่เด็กคิดว่ามีสิ่งพิเศษหรือสำคัญที่อยากบันทึกไว้ในวันนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของตัวเด็กเอง วันเกิดเพื่อนหรือวันที่จะไปเที่ยว แล้วให้เด็กเล่าเรื่องราวที่คิดว่าสำคัญให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง (ซึ่งเด็กๆ จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณพ่อคุณแม่ทำเป็นตัวอย่างให้เด็กๆ ดูก่อนค่ะ) นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะสอนให้ได้เด็กรู้จักการนับวันแล้ว ยังสามารถฝึกให้เด็กรู้จักการรอคอย จากการสอนดูปฏิทินได้อีกด้วย เช่น ตอนนี้โรงเรียนจะเปิดเรียนไหน คุณพ่อคุณแม่ก็บอกเด็กและกำหนดวันไว้ตามจริงค่ะ ในทุกๆ วันคุณพ่อคุณแม่อาจจะคอยบอกเด็กๆ ถึงวันที่จะไปเรียนว่าจะมีเหตุการณ์สนุกๆ อะไรบ้าง เพื่อให้เด็กๆ เกิดความสนใจและให้เด็กๆ ทำเครื่องหมายหรือขีดทับวันที่ผ่านไปแล้วลงในปฏิทิน เพื่อเป็นการฝึกนับและสร้างกรอบเวลาในการรอคอยให้กับเด็ก เป็นการใช้กิจกรรม 1 กิจกรรมแต่สามารถส่งเสริมพัฒนาการ ในด้านอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน (สิ่งที่สำคัญคือ เด็กๆ ในแต่ละวัยจะสามารถทนรอคอยได้ต่างกัน ดังนั้น การสร้างกรอบเวลา รอคอยให้กับเด็กไม่ควรยาวเกินไป ถ้ากรอบเวลานานเกินไปจะทำให้เด็กไม่สนใจในกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง แนะนำว่ากรอบเวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มฝึกนั้นควรอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 4-10 วันค่ะ)• สำรวจอารมณ์ คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับเด็กๆ เกี่ยวกับความรู้สึกของเด็กในแต่ละวัน ว่าวันนี้เด็กๆ รู้สึกอย่างไร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถมาทำกิจกรรมนี้ร่วมกับเด็กๆ ได้โดยเติมภาพแสดงความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ โกรธ เสียใจหรือกลัว เป็นต้น จากนั้นพ่อคุณแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ของวันนี้ เช่น วันนี้แม่ดีใจที่ลูกช่วยตากผ้า และวาดหรือทำเป็นสติ๊กเกอร์ติดบนปฏิทินสื่อสารออกมาว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ในวันนี้ กิจกรรมนี้นอกจากจะสอนเด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องของปฏิทินแล้ว ยังช่วยสอนให้เด็กเข้าใจในพฤติกรรมและการแสดงออกเรื่องของอารมณ์ได้มากขึ้นอีกด้วยค่ะ• สำรวจอากาศ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้เด็กๆ ติดสติ๊กเกอร์สภาพอากาศในแต่ละวันนั้นๆ โดยการให้เด็กสังเกตและตรวจสอบสภาพอากาศนอกบ้าน แล้วบันทึกสภาพอากาศลงในปฏิทิน เช่น วาดภาพหรือติดสติ๊กเกอร์ดวงอาทิตย์ในวันที่อากาศร้อน วาดหรือติดสติ๊กเกอร์รูปร่มในวันที่ฝนตก เป็นต้น นอกจากจะได้สอนเด็กเกี่ยวกับวัน เดือน ปี แล้วยังช่วยฝึกทักษะการสังเกต การติดตามสภาพอากาศสามารถช่วยสอนให้เด็กๆ ได้ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมใกล้ตัวให้กับเด็กๆ มากขึ้น และยังแอบสอดแทรกทักษะการสอนต่างๆ ให้กับเด็กๆโดยไม่รู้ตัวค่ะ หวังว่ากิจกรรมนี้คุณพ่อคุณแม่จะเป็นไอเดียนำไปปรับใช้กับเด็กๆ อย่างสนุกสนานกันนะคะ หากนำไปทำแล้วพบปัญหาสามารถสอบถามรายละเอียดได้ตลอดเวลาค่ะ