ไม่คิดมาก่อนเลยว่าบ้านเราจะติดเชื้อที่อินเทรนด์ที่สุดใน 2 ปีที่ผ่านมานั่นคือ "โควิด 19" เด็ก ๆ โชคดีมากที่ได้แอดมิทที่โรงพยาบาล ที่จริงแล้วเราติดโควิดทั้งครอบครัวเลยค่ะ ก็เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่บ้านเราประสบพบเจอ อาการโควิดในเด็ก และอาการของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนแล้ว 3 เข็ม ส่วนตัวพ่อแม่เองมีอาการน้อย เหมือนเป็นหวัดธรรมดา มีแชร์อาการไว้ด้วยนิดหน่อยค่ะเริ่มที่พี่คนโตเช้าวันหยุดนักขัตฤกษ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่แม่กำลังแปรงฟันอยู่ ลูกชายคนพี่พูดกับน้องว่าเปิดพัดลมเบอร์แรงจัง มันหนาวนะ หลังจากที่ได้ยินอยู่ไกล ๆ เลยเรียนลูกชายคนโตมาหา เค้ารีบวิ่งมากอดเรา แม่รู้สึกได้เลยถึงความอบอุ่นจากตัวพี่เค้า หลังจากวัดอุณหภูมิ ผลลัพธ์ที่ได้คือ "ไข้สูง" จ้า โควิดเข้ามาในหัวอันดับแรก รีบให้พี่เค้าตรวจ ATK ก่อนเลย ผลเป็นลบขึ้นขีดเดียว ยังใจชื้นอยู่ แต่ยังไงควรไปพบแพทย์ซักหน่อย เพื่อความสบายใจ เจอคุณหมอ บอกอาการไปว่ามีแค่ไข้สูง คุณหมอให้กลับมาดูอาการที่บ้าน และนัดให้มาพบหมอใหม่อีกสองวัน หลังจากรอยาซักพัก พี่เค้าเริ่มมีอาการคลื่นไส้ และปวดท้องตามมา แม่เลยขอยาจากคุณหมอเพิ่ม และกลับบ้านกัน พี่เค้ามีไข้ตลอดเวลา อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 38 องศาเลย แม่เช็ดตัว และให้ยาวนไปจนถึงเช้าอีกวัน คิดว่าเริ่มท่าไม่ดีแล้ว ปรึกษากับคุณพ่อเค้าพาลูกกลับไปหาหมอดีกว่า อยากจะขอแอดมิทเพราะกลัวลูกชักจากไข้สูงวันถัดมา จับพี่เค้าตรวจ ATK อีกครั้ง ผลยังคงเป็นลบขึ้นขีดเดียวเหมือนเดิม ไปโรงพยาบาลขอพบคุณหมอคนเดิม แจ้งคุณหมอว่ามีไข้ทั้งคืนเลย อยากจะขอแอดมิทเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่ คุณหมอก็โอเคที่จะให้แอดมิท และได้แจ้งเพิ่มเติมว่ามีขั้นตอนคือพี่เค้าต้องตรวจ RT-PCR และแม่ตรวจ ATK ระหว่างรอผลตรวจ เราแม่ลูกก็ยังลั้นลาค่ะ เดินซื้ออาหาร และขนมเตรียมขึ้นไปกินบนห้องพัก ไม่ถึง 45 นาที พยาบาลแจ้งว่า "คุณแม่คะ น้องเป็นโควิดนะคะ" แต่ผล ATK ของคุณแม่เป็นลบค่ะ และเกณฑ์เราเข้าไปในอีกห้องนึงเพื่อกักตัวเราไว้ทันที พยาบาลดำเนินการขั้นตอนทั่วไปของการนอนโรงพยาบาล และแจ้งแม่ว่าให้กลับบ้านไปตอนนี้ได้เพื่อไปเตรียมของมานอนโรงพยาบาล ให้เตรียมเสื้อผ้า 7-10 ชุด ของใช้ส่วนตัว จาน ชาม ช้อน และแก้วน้ำ (แต่แม่เตรียมมาแล้วค่ะ เลยไม่ได้กลับบ้านไปอีก กะว่ามานอนโรงพยาบาลแน่ ๆ แต่ไม่คิดว่าจะนอนด้วยโรคโควิด 555)ขั้นตอนการแอดมิทก็คือให้ขับรถวนไปด้านหลังของโรงพยาบาล เอาสัมภาระลงไว้ และไปหาที่จอดรถ จุดนี้เป็นจุดรับเฉพาะผู้ป่วยโควิด จะมีเจ้าหน้าที่บริการอย่างดี รปภ. หาที่จอดรถให้ มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงพาขึ้นลิฟต์ไปส่งที่ห้อง เข้าไปในห้องพักปุ๊บ โทรศัพท์ในห้องดังทันที พยาบาลโทรมาแจ้งขั้นตอนต่าง ๆ ว่าระหว่างอยู่ที่นี่ต้องทำอะไรบ้าง อุปกรณ์ที่ต้องใช้วัดค่าต่าง ๆ มีเตรียมให้พร้อมแล้วในห้องพักค่ะ มีเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ที่วัดไข้ และเครื่องวัดความดัน ภาพที่ 1 : ข้อปฏิบัติเมื่อเข้าพักในโรงพยาบาลแอดไลน์วอร์ด ไว้เพื่อสื่อสาร ส่งอุณหภูมิและค่าต่าง ๆ ทางนี้วัดอุณหภูมิ วัดความดัน และออกซิเจน ส่งทางไลน์คุณหมอจะออกตรวจผ่านวิดีโอคอลทางไลน์ทุกวันมื้อนั้นเป็นมื้อกลางวันพอดี คุณหมอจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์มาเลยมื้อแรก วันนึงต้องกินยาฟาวิฯ 2 มื้อ เช้าและเย็น สองมื้อแรกจะทานเยอะหน่อย ประมาณ 3 เม็ดครึ่ง (ไม่แน่ใจสัดส่วน น่าจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักเด็กแต่ละคน) มื้อต่อ ๆ ไปมื้อละ 1 เม็ดครึ่ง โดยพยาบาลผสมยามาให้เรียบร้อยแล้ว พี่เค้าไม่ต้องให้น้ำเกลือเพราะทานอาหารได้ปกติ มีเอกซเรย์ปอดไปหนึ่งครั้ง โดยเจ้าหน้าที่จะมาจัดการให้ที่ห้องพัก คุณหมอแจ้งผลว่าเชื้อไม่ได้ลงปอด มีเจาะเลือดไป 2 ครั้ง วันแรก และวันที่ 3 ผลเลือดไม่มีอะไรน่ากังวลมาก มีค่าการอักเสบเพิ่มขึ้นในวันแรก แต่เจาะเลือดซ้ำแล้วดีขึ้น ค่าอื่น ๆ ปกติ โชคดีมาก ๆ ที่พี่เค้ากินยาง่ายมากกกกกกกกกก รู้ว่ามันไม่อร่อย มันขม แต่ก็ยอมกลั้นใจกินยาอย่างดีทุกมื้อ ขอบคุณพี่นะลูกที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก :) ภาพที่ 2 : ยาฟาวิฯที่พี่เค้าต้องกินอาการของโควิดที่พี่เค้าเป็นคือวันที่ 1 มีไข้สูง ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ พี่เค้านั่งอึน ซึม อ่อนเพลีย แต่ทานอาหารได้ปกติ วันที่ 2-3 ได้แอดมิทที่โรงพยาบาล พี่เค้ามีไข้สูงตลอด โดยหลังจากได้ยาฟาวิฯไป 3 มื้อไข้ก็ค่อย ๆ ลดลง จนไม่มีไข้เลย วันที่ 4-5 เริ่มมีอาการไอนิดหน่อย คุณหมอจ่ายยาแก้ไอ และแก้แพ้ ให้เพิ่ม (ทานยาฟาวิฯ ครบ 5 วัน) วันที่ 6 คุณหมอให้กลับบ้านได้ และต้องกักตัวต่อ นับจากวันที่เริ่มมีอาการวันแรกรวม 10 วันยาจำเป็นของเด็กที่ควรมีติดบ้านในยุคโควิด ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาลดไข้สูง ยาแก้ไอยาลดน้ำมูกยาแก้แพ้ผงเกลือแร่ (ในกรณีถ่ายเหลว)ถ้ามีอาการป่วยในยุคนี้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยค่ะว่าน่าจะเป็นอาการของโควิด ตอนนี้ไม่มีคำว่าเป็นหวัดธรรมดาค่ะ มียาติดบ้านไว้บ้างเพื่อให้อุ่นใจ และให้ลูกทานไปก่อนเพื่อบรรเทาอาการ แต่ควรพบแพทย์ด้วยนะคะแม่เองระหว่างที่พี่เค้าแอดมิท แม่ใส่แมสก์ตลอด 4-5 วันที่ผ่านมา แต่คิดว่าตัวเองก็คงไม่น่าจะรอด เพราะก่อนหน้าที่พี่เค้าจะมีไข้ พี่เค้าจามใส่แม่เต็ม ๆ 2 ครั้ง แม่เลยตัดสินใจขอพยาบาลตรวจ RT-PCR ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล จะได้รู้ไปเลยว่าเป็นไม่เป็น ผลออกมาคือ "ติดเชื้อ" จ้า แต่เชื้อน้อยแล้ว (ผลการตรวจตัวเลขเชื้อน้อยคือกำลังเป็น ตัวเลขเชื้อยิ่งมากคือใกล้หาย) ภาพที่ 3 : ผลตรวจ RT-PCR ของแม่อาการของโควิดที่แม่เป็นคือ (อาการด้านล่างนี้เป็นตอนแอดมิทอยู่กับลูกที่โรงพยาบาล)ปวดหัว (คิดเองว่านอนไม่พอ)เจ็บคอนิด ๆ เจ็บอยู่ 2 วัน (คิดเองว่าอาจจะเพราะเพิ่งผ่าทอนซิลมา ยังไม่หายดี)ระคายคอ และเริ่มไอ (ไม่มีไข้ ไม่มีน้ำมูก)แม่ขอพบแพทย์แบบ OPD ตั้งแต่แอดมิทอยู่กับพี่คนโตค่ะ แม่ทานยาแก้ไอเม็ดสีแดงที่หมอจ่ายเป็นหลักค่ะ เพราะไม่มีอาการอื่นเลย ตัวแม่เองตรวจ ATK 3 รอบตั้งแต่พี่เค้ามีอาการ ผลออกมาเป็นลบตลอดค่ะพ่อบ้างระหว่างที่แม่กับพี่คนโตแอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาล ทางคุณพ่อที่อยู่กับน้องคนเล็กก็ไม่แผ่วค่ะ คุณพ่อเริ่มมีอาการหลังจากเราแอดมิทกันไปได้สองวัน แต่ก็กักตัวอยู่ที่บ้านกัน คุณพ่อพยายามทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เช็ดถูจุดสัมผัสร่วมทุกจุด ป้องกันอย่างสุดความสามารถ และหวังว่าน้องเล็กจะรอดจากการเป็นโควิด เพราะน้องยังไม่มีอาการใด ๆ อาการของโควิดที่พ่อเป็นคือระคายคอ เจ็บคอมีไข้ ไอ น้ำมูก ทุกอาการมาเต็ม คุณพ่อทานยาตามอาการ และอาการก็ดีขึ้นตามลำดับเองค่ะ ไม่ได้พบแพทย์ คุณพ่อกับน้องมีไป RT-PCR กันในวันที่พี่แอดมิทวันแรก แต่ผลออกมาไม่พบเชื้อค่ะ อาการต่าง ๆ ตามมาหลังจากตรวจไป 2-3 วัน และมีตรวจ ATK ซ้ำตอนอาการออกเยอะ ถึงจะขึ้น 2 ขีดค่ะปิดท้ายด้วยน้องคนเล็กแม่ได้กลับมานอนบ้านหนึ่งคืน ตอนตี 4 น้องเค้าก็นอนสั่นมีไข้สูงค่ะ 55555 (หัวเราะทั้งน้ำตา) แม่และน้องแพคกระเป๋าอีกรอบ หอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล รอบนี้โทรไปโรงพยาบาลก่อนค่ะ เจ้าหน้าที่ในสายแจ้งว่าให้ไปแผนกฉุกเฉินได้เลย พอไปถึงแจ้งพยาบาลที่ฉุกเฉินบอกว่าน้องเป็นโควิด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ "ห้องเต็มค่ะคุณแม่" แม่เลยขอพบแพทย์แบบ OPD ค่ะ เจอคุณหมอท่านเดิม (มองตาก็รู้ใจ 5555) ก่อนหน้านี้ตอนแอดมิทคนพี่ คุณหมอมีถามข้อมูลไปบ้างอยู่แล้วค่ะว่าที่บ้านมีใครอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคุณหมอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าน้องน่าจะไม่รอด 5555 แต่ก็ถามพอเป็นพิธีว่ามีอาการยังไงบ้าง จากนั้นก็บอกให้พยาบาลเตรียมเรื่องแอดมิทได้เลย ขั้นตอนเดิมเลยค่ะ เพิ่มเติมคือน้องเค้าต้องโดน RT-PCR อีกรอบ ภาพที่ 4 : ไข้สูงถึง 39 องศาตัวน้องเค้านั้นกินยายากมากกกกกกกกกกกกกกก กอดรัดฟัดเหวี่ยง เท้าถีบหน้า กรี๊ด พ่นยา อ้วก มาหมดเลยค่ะ 5555555 งานยากของแม่ หลังจากแอดมิทน้องเค้าก็อาการไม่ค่อยดีค่ะ ไม่กิน ไม่ดื่มนม นอนเยอะ ไม่ฉี่ ไม่อึ หลังจากบังคับกินยาฟาวิฯ พอกินน้ำได้บ้างเพราะกินยาขมมา ไข้ก็ค่อย ๆ ลดลง ผ่านไป 2 วัน คุณหมอบอกว่าให้น้ำเกลือดีกว่า เดี๋ยวหมอให้วิตามินเพิ่มด้วย เพราะเจาะเลือดไปตรวจ ค่าต่าง ๆ แย่มาก น้องเค้าโดนจิ้มไปหลายที กว่าจะได้เลือดแต่ละครั้ง กว่าจะต่อปลั๊กให้น้ำเกลือไหลดีได้ เล่นเอาเหนื่อย ให้น้ำเกลืออยู่ 2 ขวด อาการถึงดีขึ้น กินได้ ฉี่คล่อง อึมา หลังจากไม่อึมาหลายวัน คุณหมอจ่ายยาฟาวิฯ ครบ 5 วัน และขอดูอาการอีกวันแล้วก็ให้กลับบ้านค่ะ อาการของโควิดที่น้องเค้าเป็นคือวันที่ 1-2 มีไข้สูง น้องเค้านั่งอึน ซึม อ่อนเพลีย ไม่กิน ไม่ดื่มนม นอนเยอะ ไม่ฉี่ ไม่อึ ได้แอดมิทที่โรงพยาบาลวันที่ 3 หลังจากได้ยาฟาวิฯไปไข้ก็ค่อย ๆ ลดลง จนไม่มีไข้เลย วันที่ 4-5 เริ่มมีอาการไอนิดหน่อย คุณหมอจ่ายยาแก้ไอ และแก้แพ้ ให้เพิ่ม (ทานยาฟาวิฯ ครบ 5 วัน) วันที่ 6 คุณหมอให้กลับบ้านได้ และต้องกักตัวต่อ นับจากวันที่เริ่มมีอาการวันแรกรวม 10 วันรอบนี้แม่ได้เรียนรู้จากการแอดมิทพร้อมพี่คนโตคราวก่อน ครั้งนี้เราพร้อมมากค่ะ เตรียมแก้วตวงใบจิ๋ว พร้อมน้ำหวานสีแดงมาด้วย ขอยาฟาวิฯ แบบเม็ดมาจากพยาบาลเพื่อเอามาผสมกับน้ำหวานเอง เนื่องจากน้องกินยายาก แม่เลยพยายามผสมยากับน้ำ และน้ำหวานให้ได้ปริมาณโดยรวมที่ต้องกินน้อยที่สุดค่ะ ตัวยาฟาวิฯ ละลายง่ายอยู่แล้ว เอาใส่แก้วที่เตรียมมา ใส่น้ำนิดเดียว ยาจะละลายฟูขึ้นมาเลยค่ะ หลังจากนั้นใส่น้ำหวานสีแดง แล้วคนให้เข้ากัน พร้อมกินแล้วค่ะ แม่ลองชิมดูรสชาติปะแล่มหวานปนขม 555สีตาของน้องเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วง ๆ หลังจากได้ยาฟาวิฯ ด้วยค่ะ ตอนแรกแม่ไม่รู้ถึงผลข้างเคียงของยาในข้อนี้ เลยลองถามพยาบาลดู เค้าบอกว่าสามารถเป็นได้ เพราะเกิดจากยาฟาวิฯ ที่กินเข้าไป และจะหายไปเองหลังหยุดยาค่ะพ่อกับแม่ได้รับวัคซีนแล้ว 3 เข็มนะคะ แล้วก็ไม่รู้ตัวเลยว่าติดโควิดมาจากไหน ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันใด ๆ ทั้งสิ้น มีไปเดินห้าง ทานข้าว พาลูกไปเรียนพิเศษปกติ ลูกไปโรงเรียนมีตรวจ ATK ทุกอาทิตย์ ตรวจทั้งครอบครัวเพื่อส่งให้โรงเรียน ถามทางโรงเรียนก็ไม่มีใครป่วย พ่อกับแม่เดากันว่าพี่คนโตน่าจะได้เชื้อมาจากการที่เราพาไปห้าง แล้วเด็กก็คือจับทุกอย่าง ลูบทุกอย่าง ก็เลยคิดว่าได้มาจากตรงนั้น เพราะเค้ายังมีความระวังตัวไม่เท่าผู้ใหญ่แบบเรา ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนของชีวิต ในช่วงชีวิตคงต้องมีอย่างน้องซักครั้งกันเนอะที่จะได้เป็นโควิด 19 ฝากไว้ว่าในยุคโควิดแบบนี้เราควรสังเกตอาการลูกดี ๆ เลยค่ะ ถ้าวันนั้นเค้าไม่บ่นว่าหนาว (ในขณะที่แม่เหงื่อตก) และไม่วิ่งมากอดเรา เราอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าลูกตัวร้อนมีไข้สูงอยู่รักษาตัวกันดี ๆ นะคะทุกคน ขอให้ปลอดโรค ปลอดภัยกันทุกคนค่ะเครดิตภาพ : - ภาพปกโดย Wonderland (ผู้เขียน)- ภาพที่ 1 - 4 ถ่ายโดย Wonderland (ผู้เขียน)ร่วมเสพบทความ หนัง ซีรีส์ และเพลงใหม่ ๆ สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !