"การลงทุนที่ดีคือ เลือกกิจการที่เราคิดว่าจะมีอนาคต ซื้อหุ้นถือเพื่อรอรับปันผลเเละเติบโตไปกับมัน" เป็นคำพูดทีี่ดึงดูดให้หลายๆคนเข้าไปลงทุน ซึ่งคำพูดเหล่านี้นั้นดูเรียบง่ายปฏิบัติได้จริง เเละมันจะยิ่งน่าดึงดูดเข้าไปอีกหากนักลงทุนผู้นั้นโชว์ผลกำไรที่เคยได้รับจากการลงทุน มันน่าดึงดุดเงินในกระเป๋ายิ่งนัก อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะเอาเงินไปฝากในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำติดดินขนาดนี้ หากเเต่ความเป็นจริงนั้นมีเรื่องที่น่าเจ็บปวดซ่อนอยู่คือ 80% ของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหรือเรียกง่ายๆว่าขาดทุน ยิ่งเป็นตลาด Forex อัตราที่ส่วนในการชนะตลาดยิ่งน้อยลงไปอีก วันนี้ผู้เขียนเลยจะมาขอเเชร์ประสบการณ์การลงทุนที่เคยผ่านมาจนครบ 1 วงรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay เราต้องรู้จักตัวเองก่อน การรู้จักตัวเองในที่นี้ขอให้เพื่อนๆนักลงทุนพยายามตั้งเป้าที่เราคาดหวังผลเอาไว้ก่อน เช่น นักลงทุนมีเงินจำนวนเท่าไหร่ต้องการให้เงินงอกเงยเท่าไหร่เเละมีระยะเวลานานเเค่ไหน หลังจากนั้นของมาคำนวนว่าจะลงทุนด้วยวิธีไหน ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงไรผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ A มีเงินลงทุนจำนวน 10,000.- บาท ต้องการผลตอบเเทน 50% ระยะเวลาในการลงทุน 1 เดือน หลังจากนั้น A ต้องไปศึกษาหาข้อมูลเเละวิธีการลงทุนที่คาดว่าจะสามารถพานักลงทุนไปให้ถึงจุดกำไรที่ต้องการภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay สนามจริง เมื่อนักลงทุนประเมินในเรื่องต่างๆเสร็จเเล้วขั้นตอนต่อไปคือลงมือปฏิบัติจริง นักลงทุนหลายคนเขามาลงทุนด้วยความคาดหวัง และโอกาสที่จะทำกำไรเเต่เมื่อได้ลงสู่สนามจริงเเล้ว ต้องพบเจอกับการขึ้นลง เจอช่วงอารมณ์ที่อ่อนไหวกับข่าวสาร ความวิตกกังวลของนักลงทุน ยิ่งในช่วงตลาดขาลงนักลงทุนหน้าใหม่ต้องเจอกับเเรงกดดันมากกว่าตลาดขาขึ้นหลายเท่า หลายคนเข้ามาเจอกับการขาดทุนครั้งเเรกถึงกับท้ใจเเละถอนตัวออกจากตลาดไป เเต่ในทางกลับกันบางคนเข้ามาตลาดครั้งเเรกก็สามารถทำกำไรได้เเต่พอผ่านช่วงเวลาไปสักระยะหากไม่พัฒนาความรู้ความสามารถก็สามารถคืนกำไรให้ตลาดได้ เเละมีนักลงทุนอีกกลุ่มคือเข้ามาตลาดขาทุนไม่กล้าขายได้กำไรก็ไม่กลายขายจนท้ายที่สุดไม่ขยับไปทางใดทางหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้นักลงทุนพึงระลึกว่าเข้ามาต้องมีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไรเเน่นอนภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay คำเตือนสำหรับผู้เข้าตลาดลงทุนความต้องการในการทำกำไรสูงมากโอกาสขาดทุนจะมีเท่ากัน ตลาดทุกตลาดไม่สามารถตั้งกฎเกณฑ์ที่ตายตัวได้ ตลาดเเต่ละตลาดต่างมีการรับข่าวเเละการตอบสนองกับข่าวที่เเตกต่างกัน เช่น ตลาดหุ้น เเละตลาดทอง บางช่วงเวลาจะมีเเนวโน้มไปในทิศทางตรงข้ามกัน จนมีคำกล่าวว่า "นักลงทุนทยอยขายหุ้นเพื่อนำเงินไปเก็บไว้ในทรัพย์สินปลอดภัย ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจากความต้องการที่สูง" ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลที่นักลงทุนเข้าใจได้ เเต่ก็มีหลายครั้งที่มีเเนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันทั้งตลาดหุ้นเเละตลาดค้าขายทองคำตลาดไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล จากการยกตัวอย่างเปรียบเทียบตลาดหุ้นเเละตลาดค้าทองคำ เเต่ในทางกลับกันก็สามารถปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่เป็นเหตุเป็นผลมีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนน้อยกว่านักลงทุนที่ขาดทุน โดยมีอยู่ประมาณ 20% ของนักลงทุนทั้งหมดภาพโดย Steve Buissinne จาก Pixabay คำแนะนำนักลงทุนจังหวะนั้นสำคัญ การจับจังหวะของตลาดว่าอยู่ในเทรนไหนค่อยข้างสำคัญไม่ว่าจะตลาดอะไร หากนักลงทุนสามารถตามเทรนขึ้นลงได้ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างที่นักลงทุนต้องการในช่วงเวลาตลาดเป็นเทรนขาขึ้น มักจะสร้างโอกาศได้อย่างดีเสมอสามารถเล่นได้หลายรูปแบบทั้งเทรนระยะสั้น ยาว เเต่หากตลาดกลับเเนวโน้มเป็นเเนวโน้มลงเเล้วการเล่นก็ควรจะระวังในจังหวะเข้าซื้อการกำจัดความเสี่ยง สามารถทำได้ด้วย Money Management นั้นก็คือการทำ risk reward ที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับ win-loss เรียกง่ายๆก็คือ นักลงทุนควรหาความเสี่ยงในการลงทุนเช่น ต้องการกำไร 20% มีความเสี่ยงที่จะตัดขาดทุน 5 % เมื่อนักลงทุนทดสอบดูในเครื่องมือเเนะนำในการลงทุนเเล้ว มีโอกาศชนะมากหรือน้อยการลงทุนที่ดีควรให้เวลากับสินทรัพย์ที่ลงทุน อาทิเช่น หุ้นปันผลสูง ยิ่งลงทุนในระยะเวลาที่นานยิ่งมีโอกาสได้รับผลตอบเเทนที่สูงขึ้นใช้หลักการคิดสองด้านเสมอ หากนักลงทุนจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรต้องคิดเสมอว่าจะมีเเนวโน้มที่ดี เเละ มีเเนวโน้มที่เลวร้ายทุกการกระทำใช้สติก่อนอารมณ์เสมอ เพราะตลาดจะเต็มไปด้วยอารมณ์เเละข่าวภาพปกโดย mohamed Hassan จาก Pixabay