ทุกวันนี้ตามร้านรถเข็น ร้านข้างทาง หรือแม้กระทั่งในห้าง “ขนมครก” นับว่าเป็นหนึ่งในของว่างที่หาทานได้ง่าย มีความหลากหลาย และราคาย่อมเยา แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าขนมครกมีประวัติความเป็นมา ที่ยาวนานเป็นร้อยๆ ปีเลยทีเดียว ขนมครกถือเป็นขนมไทยแท้อีกชนิดหนึ่งที่ทำทานกันมานานแล้ว สมัยกรุงศรีอยุธยามีข้อความตอนหนึ่งในจดหมายเหตุคำให้การของขุนหลวงหาวัด กล่าวไว้ว่า “...บ้านหม้อปั้นข้าว หม้อแกงใหญ่เล็ก และกระทะเตาขนมครกขนมเบื้อง...” เมื่อมีการปั้นกระทะและเตาขนมครกขายกัน ก็แสดงให้เห็นว่าการทำขนมครกคงมีแพร่หลายมากตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว คนในสมัยก่อนมักจะคุ้นเคยกับขนมครกในรูปแบบที่ไม่มีอะไรโรยหน้า เป็นเพียงหน้ากะทิเปล่า หรือถ้าจะโรยก็มีแค่ผักอย่างต้นหอมซอยละเอียด เพื่อเพิ่มกลิ่นให้หอมน่าทานเท่านั้น ในสมัยต่อมาก็เกิดขนมครกชาววังขึ้น ขนมครกชาววังจะเน้นไปที่เครื่องโรยหน้าขนมครก มีทั้งหน้ากุ้ง หน้าพะแนงไก่ หน้าหมูและหน้าไข่ โดยที่เป็นการทำทานกันเองภายในบ้านหรือในวังเท่านั้น จนกระทั่งในปัจจุบันการทำขนมครกทานเองก็ค่อย ๆ ลดหายไป เหลือเพียงการทำขายเป็นส่วนมากสามารถพบเห็นและหาทานได้ทั่วไป บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างพัฒนาสูตรและกรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้สะดวก รวดเร็วและให้คงความอร่อยของขนมครกไว้ รวมทั้งเพิ่มเครื่องโรยหน้าขนมครกให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่หน้ากะทิเปล่า หน้าต้นหอม หรือหน้าขนมครกชาววังเท่านั้น ปัจจุบันยังได้มีการนำเอาวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ มาเป็นเครื่องโรยหน้า ขนมครกอีกด้วย ทั้งข้าวโพด เผือก ลูกเกด งา ฯลฯ หรือแม่ค้าบางร้านก็นำขนมหวานชนิดอื่นมาเป็นเครื่องโรยหน้าขนมครก เช่น ฝอยทอง มันเชื่อม และพุทราเชื่อม ในปัจจุบันเป็นยุคของความสร้างสรรค์ ขนมครกจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารหวานอีกต่อไป แต่ยังได้ถูกปรับแต่งและพัฒนาให้กลายเป็นอาหารคาวอีกด้วย โดยการใช้รูปแบบของขนมครกผนวกเข้ากับสูตรของหอยทอด ทำให้กลายเป็นอาหารทอดในหลุมขนมครก และมีชื่อเรียกต่าง ๆ ไปว่า หอยครกบ้าง ทะเลครกบ้าง ตามแต่พ่อค้าแม่ค้าจะคิดสร้างสรรค์ ขนมครก เป็นสิ่งที่มีเส้นทางยาวนาน มีการพัฒนาตัวเองจากอดีตสู่ปัจจุบัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่ต้องมีเส้นทางของตัวเอง และต้องมีการพัฒนาตัวเองต่อไปจากปัจจุบันสู่อนาคตเช่นกัน