สวัสดีครับนักอ่านทุกๆท่าน บทความนี้ผมอยากจะแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับกล้องฟิล์มให้ทุกๆท่านนะครับ ช่วงนี้กล้องฟิล์มเริ่มมีกระแสกกลับมาฮิตอีกครั้ง ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่กูรูหรือนักเล่นกล้องฟิล์มตัวยงนะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ต้องบอกก่อนเลยว่า กล้องฟิล์มเนี้ยแทบจะเรียกได้ว่ามีกันเกือบทุกบ้านเลยจริง เด็กที่เกิดช่วง 20-30 ปีที่แล้วโตมากับกล้องฟิล์มเลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของกล้องฟิล์มจนกระทั่งการมาของดิจิตอลทำให้กล้องฟิล์มค่อยๆหายไป เพราะความที่ยุ่งยากและใช้เวลานานกว่าจะไดภาพของกล้องฟิล์มผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะซื้อกล้องดิจิตอลแทนแต่แล้วที่ทำให้กล้องฟิล์มหายไปจริงๆเลยก็คงจะเป็นการมาของสมาร์ทโฟนที่ความสามารถทั้งภาพถ่ายความละเอียดสูง พกพาได้ง่าย และสามารถแชร์รูปให้คนอื่นได้ในทันที ทำให้คนนิยมที่จะใช้กล้องฟิล์มลดลงเป็นอย่างมากบวกกับผู้ผลิตของกล้องได้ปรับตัวขายกล้องดิจิตอลเกือบ 100 % การหายไปของกล้องฟิล์มส่งผลทำให้ร้านล้างฟิล์มต้องปรับตัวเป็นร้านขายกรอบรูปหรือร้านถ่ายเอกสารเป็นส่วนใหญ่ และเหตุใดทำไม กล้องฟิล์มถึงกลับมาอีกครั้ง ?ส่วนตัวผมคิดว่ากล้องฟิล์มยังมีกลิ่นอายของตัวมันเองอยู่ รูปใบนึงต้องลุ้นว่าจะเสียไม่เสีย ถ่ายเสร็จต้องไปล้าง เอกลักษณ์ของกล้องแต่ละตัวและเอกลักษณ์ของฟิล์มแต่ละตัวที่กล้องปัจจุบันก็ไม่สามารทำตามได้ เหล่ากันมานานมากก งั้นเราไปดูกันดีกว่า กล้องฟิล์มมีอะไรน่าสนใจ และเลือกซื้ออย่างไหร่ กล้องฟิล์มที่ค่อนข้างหาซื้อง่ายและใช้กันเป็นส่วนใหญ่จะมี 3 ประเภท (จริงแล้วมีอีกแต่ขอยกตัวอย่างเท่าที่ผมมีนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ)1.กล้องฟิล์มแบบคอมแพค (compact camera)เป็นกล้องที่เรียกว่าจะใช้งานง่ายที่สุดและเกือบทุกๆบ้านจะต้องมี แล้วมันง่ายตรงไหน ? ความง่ายของมันคือ ใส่ถ่าน ใส่ฟิล์ม ยกถ่าย แค่นี้ไม่มีอะไรสับซ้อนซ่อนเงื่อน ฮ่าๆๆๆๆ มันง่ายจริงๆครับ เพราะว่ากล้องคอมแพคเป็นกล้องยุคใหม่ของกล้องฟิล์ม ที่เอาระบบคอมพิวเตอร์คำนวณทุกๆอย่างมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูรับแสง วัดแสงอัตโนมัติ และที่พิเศษกว่าคือมันสามารถซูมได้ในตัว และราคาที่ถูก (ในสมัยก่อนก็ไม่ได้ถูกซะเท่าไหร่ ฮ่าๆๆๆ) ทำให้เป็นที่นิยมและมีติดบ้านกันมาก มาถึงตรงนี้ผมอยากจะแนะนำมือใหม่หัดเล่นหรือสาวๆที่ไม่ชอบในความซับซ้อนแนะนำเลยครับ ละก็ขอแถมอีกหน่อย กล้องคอมแพคมีญาติห่างๆกันก็คือ กล้องใช้แล้วทิ้ง กล้องใช้แล้วทิ้งจะเป็นกล้องที่ง่ายกว่าคอมแพคมาก เพียงแค่ ซื้อเสร็จแล้วเอาไปถ่ายได้เลยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม ทำไมต้องใช้แล้วทิ้ง ตรงตัวเลยครับเมื่อถ่ายไปหมดฟิล์มแล้วเมื่อเราส่งไปร้านล้างฟิล์ม กล้องชนิดนี้จะถูกงัดที่ตูดเพื่อเปิดฝาเอาฟิล์มออก และเมื่อเอาออกมาแล้วจะไม่สามารถใส่ฟิล์มกลับเข้าไปได้ (จริงแล้วก็เอาเข้าได้นะ แต่อย่าหาทำดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆ) ใครที่อยากลองเล่นกล้องฟิล์มแต่ไม่มีกล้อง ตัวนนี้คือคำตอบ แต่ก็มีข้อสังเกตนะครับ ตัวเลนส์ของเจ้ากล้องใช้แล้วทิ้งเป็นพลาสติก ถ่ายไปความคมอาจจะไม่สู้เท่ากล้องคอมแพค และข้อสังเกตอีกอย่าง กล้องชนิดนี้ไม่สามารโฟกัสได้ ถ้าถ่ายใกล้วัตถุมากๆ จะทำให้ภาพเบลอได้ แต่ภาพที่ได้ก็โอเคนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับฟิล์มด้วย2.กล้องฟิล์มแบบ rangefinder (camera rangefinder)กล้องประเภทนี้คืออะไร ตามที่ wikipidia ได้บอกมามันคือ กล้องที่กลไกในการหาระยะโฟกัสและทำให้โฟกัสชัดขึ้น (A rangefinder camera is a camera fitted with a rangefinder, typically a split-image rangefinder: a range-finding focusing mechanism allowing the photographer to measure the subject distance and take photographs that are in sharp focus. ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Rangefinder_camera ) ยาวไป ตามความคิดเห็นส่วนตัวผมคิดว่ามันคือกล้องที่ใช้หลักการภาพซ้อนทำให้หาโฟกัสที่ชัดได้ง่ายขึ้น กล้องประเภทนี้มีความพิเศษกว่าคอมแพคคือสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ไม่เหมือนคอมแพค ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้แต่เลนส์ที่ติดมากับกล้องเพียงพอต่อการถ่ายภาพในชีวิตประจำวันกล้องประเภทนี้มีทั้งแบบกลไกล้วน กลไกกึ่งออโต้ และ ออโต้ ซึ่งหลักการเหล่านี้ผมไม่ขอพูดถึงแต่ส่วนตัวชอบกลไกล้วน การใช้งานของกล้องต้องบอกเลยว่าซับซ้อนกว่าคอมแพคมาก แต่ก็ไม่อยากจนเกินไปผมเชื่อว่า สาวๆสามารถใช้งานได้โดยไม่ติดขัดอะไร ฮ่าๆๆๆ จุดเด่นของมันที่ผมคิดว่าเด่นนะ คงเป็นการโฟกัสเพราะหลักการคือการหมุนโฟกัสและมองช่องมองภาพเมื่อซ้อนกันก็กดชัตเตอร์ได้ และก็เป็นกล้องที่ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์บ่อย บางยี่ห้อตัวเล็กน่ารักๆ เหมาะกับสาวๆก็มีนะครับ เช่น minolta hi-matic f หรือ olympus 35 dc การใช้งานการปรับตั้งค่าสปีดชัตเตอร์ รูรบแสงจะอยู่ที่หน้าเลนส์จะแตกต่างกับ SLR การออกแบบๆนี้ทำให้กล้องเล็กลงได้แต่ในบางตัวพบว่ามีขนาดใหญ่และค่อนข้างหนักเท่า SLR 3.กล้องแบบ SLR หรือ เปลี่ยนเลนส์ได้ (SLR : Single-lens reflex camera)กล้องประเภทนี้ใช้กลักการกระจกสะท้อนภาพจากเลนส์ขึ้นมา ต่างจาก rangefinder ตรงที่ว่า rangefinder จะเห็นภาพตรงๆแต่จะมีภาพอีกภาพซ้อนขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการโฟกัสแต่ SLR ใช้หลักการกระจกสะท้อนจากเลนส์ขึ้นมาถึงช่องมองภาพ จุดเด่นของกล้องแบบนี้คือ สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และ ความสามารถในการตั้งสปีดชัตเตอร์ที่สูงๆได้เรียกได้ว่าเป็นกล้องโปรก็ว่าได้ แต่ด้วยความที่มันหนัก กล้อง+เลนส์ ก็ปาเข้าไป 2-3 กิโล หรือมากกว่านั้น ส่วนหลักการทำงานก็ไม่ต่างอะไรกับ rangefinder มากครับ มีทั้งกลไกล้วน กึ่งกลไก และ ออโต้ล้วน แต่อย่างที่ผมบอกส่วนตัวผมชอบกลไกลล้วนมากกว่าเพราะว่า ไม่ต้องพึ่งถ่านก็ถ่ายได้ ไม่มีวัดแสงใช้แอพพลิเคชั่นวัดแสงหรือกฎ sunny 16 ก็ได้ครับแต่ถ้าเป็นกึ่งกลไกบ้างรุ่นบางยี้ห้อสามารถถ่ายได้แค่สปีดเดียวเท่านั้น ผมลืมบอกไปแล้วกล้องออโต้คืออะไร กล้องออโต้คือมีการเอาชิปเซ็ตที่ทำงานด้วยไฟฟ้าเข้ามาคำนวณค่าแสงเพื่อให้ได้ความสัมพันธ์ระหว่าง ฟิล์ม แสง สปีดชัตเตอร์ รูรับแสงที่ต้องใช้ให้เรียบร้อยซึ่งรายละเอียดเชิงลึกขอเอาไว้อีกบทความนึงนะครับ ซึ่งใครจะซื้อกล้อง SLR ควรถามคนขายว่าเป็นกล้องที่ทำงานด้วยประเภทไหน เพราะหากเราไม่รู้ว่ากล้องที่เราจะซื้อทำงานประเภทไหนเมื่อเวลาเอาไปถ่ายแล้วเราลืมใส่ถ่านหรือถ่านหมดทริปท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้ภาพกลับมา T__T แล้วกล้องแบบไหนถึงเหมาะกับตัวเอง?ผมจะขอแนะนำผู้อ่านที่อยากเริ่มเล่นกล้องฟิล์มนะครับว่า เอาที่ตัวเองชอบเลย อ้าวตอบแบบนี้กวนนี้หว่าแล้วจะเขียนบทความทำเพื่อ? ฮ่าๆๆๆ คือแบบนี้ครับทุกคน กล้องแต่ละตัวมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกัน อย่างมือใหม่ที่จะเล่น SLR ก็ทำได้เหมือนกัน เพราะผมก็เริ่มจากการเล่น SLR มาก่อนเหมือนกัน ลองผิดลองถูกจนถ่ายขึ้นมาเรื่อยๆจึงเริ่มสะสมกล้องฟิล์มละก็มาลองเล่นหลายๆแบบกล้องคอมแพคถึงแม้ว่ามันจะถ่ายหน้าชัดหลังเบลอไม่ได้สวย ด้วยความสามารของมันภาพที่ได้มาจึงค่อนข้างเรียกว่า"เรียล"สุดๆ และได้ภาพแน่นอนแถมยังถ่ายที่มืดได้อีกเพราะมีเจ้าแฟลชให้ความสว่างของภาพในยามค้ำคืนกล้อง SLR / rangefinder ถึงแม้ว่าจะภาพที่ได้ ดูเป็นมืออาชีพมากกว่าคอมแพค แต่ด้วยความสามารถมันนี้แหละ ทำให้บางภาพต้องต้องมีลุ้น เพราะกล้องประเภทนี้ในบางครั้งถึงแม้ว่าเราถ่ายเป็น ถ่ายเก่งแล้วแต่อย่าลืมว่ากล้องส่วนใหญ่ที่เป็น SLR / rangefinder เป็นกลไกซึ่งเมื่อถึงกาลเวลาต้องมีเสื่อม มีชำรุดส่งผลทำให้ม่านชัตเตอร์หรือสปีดชัตเตอร์สึกหรอ ส่งผลให้ภาพเสียเลยก็เป็นได้ ท้ายที่สุดนี้ ผมมองว่าทุกๆภาพไม่มีสวยหรือไม่สวย มุมมองแล้วแต่คนไม่เหมือนกัน แต่สำคัญสุดคือ "ทุกภาพคือความทรงจำ" ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ส่วนรายละเอียดลึกๆของกล้องฟิล์มมีอะไรบ้างไว้ต่อบทความครั้งหน้าครับผิดพลาดลืมอะไรไปก็ขออภัยด้วยนะครับ #มือใหม่หัดเล่าที่มาของรูป:คนเขียนบทความถ่ายเองทั้งหมด