กีดกันด้วยแผ่นฟ้าแม้ไกลฉันยินดีจะฝ่าไป กีดกันด้วยภูผาสูงชันลับตาฉันไม่หวั่นไหวกีดกันด้วยเวลาฉันยินดีรอ แต่กีดกันด้วยชะตาฉันคงต้องยอมพ่ายแพ้ใช่ไหมความนำ “กีดกันด้วยแผ่นฟ้า…” ท่อนกลางของบทเพลงประกอบซีรีส์ เรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ ผมได้ยินครั้งแรกจากเว็ปไซต์ YouTube ฟังคราวแรกต้องยอมรับเลยว่า เป็นบทเพลงที่ทำให้ผมต้องหยุดพิมพ์งาม แล้วเปิดฟังอีกรอบอย่างพิจารณา พร้อมด้วยตีความถ้อยคำ ประกอบความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากบทเพลง ยอมรับเลยว่าผู้เขียนเพลงนั้นเขียนดีมาก คนร้องก็ใช้น้ำเสียงที่ไพเราะ ดนตรีประกอบเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เป็นไปตามท่วงทำนองที่ถ่ายทอดออกมา ผมฟังประมาณสามรอบ จึงได้โอกาสค้นพบว่าเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบซีรีส์ ด้วยรูปภาพ และการนำเสนอที่ดูแปลกตา ทำให้ผมเลือกเข้าไปดู พอเข้าไปดูแล้วทำให้ทราบได้เลยว่าการทำงานในซีรีสืเรื่องนี้ มีความละเอียด ละเมียดละไม เลือกใช้ตัวละคร รวมถึงฉากที่งดงาม ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างงดงาม เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก โดยมีรายละเอียดบางอย่างที่ผมพิเคราะห์ออกมา ดังจะได้กล่าวต่อไปรู้จักซีรีส์ รู้จักซีรีส์ในเบื้องต้นจากข้อมูลที่ปรากฏในโลกออนไลน์ ซีรีส์ เรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ (I told sunset about you) นำแสดงโดยบิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร อำนวยการสร้างโดย Nadao Bangkok ซีรีส์เรื่องนี้มีปมประเด็น เรื่อง ความฝันเป็นสำคัญ คำว่า “ฝัน” ที่มีความหมายถึงอนาคตที่อยู่ในห้วงความคิดของตัวละคร ที่ต้องการเดินไปให้ถึง เป็นจุดหมายปลายทางที่เขาเลือกโดยในซีรีส์เรื่องนี้ ทั้งสองต้องการเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเดียว จากเพื่อนร่วมฝัน สู่เพื่อนชิงฝันและเพื่อนแบ่งปันฝัน ระยะทางในการเดินถึงฝันของตัวละครจึงเป็นปมประเด็นย่อยที่ทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการทั้งทางความรู้สึก การกระทำ และการตัดสินใจของตัวละคร แต่ละคนเพื่อเดินทางตามฝันของตนเองการลองรักของตัวละคร “เต๋” และ “โอ้เอ๋ว” ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน ความสนิทเกิดขึ้นจากการที่โอ้เอ๋วนั้นเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยเป็นกำลังใจ และไม่เคยดูถูกความฝันของเต๋เลยสักครั้ง การฝึกเพื่อฝันของเต๋ ล้วนมีโอ้เอ๋วเป็นคนสำคัญที่คอยช่วยเหลือ ทั้งการทดลองแสดงการต่อสู้ การออกไปเล่นน้ำ โอ้เอ๋วจึงเหมือนคนที่เต๋ไว้ใจมากที่สุด ทำให้การแสดงออกของเขาเปิดเผย และไว้ใจโอ้เอ๋วทุกอย่าง รักแรกในวัยเด็กของเขาทั้งสอง จึงเป็นความรักแบบเปมะ เป็นความรักจากความผูกพัน พอใจ จากการได้มีปฏิสัมพันธ์กัน และความรักแบบฉันทะ คือ ความพอใจ ความรักใคร่ในสิ่งหนึ่งร่วมกัน นั้นคือ ความฝันการเป็นพระเอกหนังจีนของเต๋ โดยมีโอ้เอ๋ว เป็นผู้สนับสนุน ความรักของทั้งสองในเบื้องแรก ได้ขาดลงเมื่อเต๋ รู้สึกว่าวันหนึ่งเขากำลังโดนความฝันของตนเองไป โดยคนที่หักหลังเขานั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนที่เขาไว้ใจ ผูกพันมากที่สุด เหตุการณ์นี้มาจากครูได้เลือกโอ้เอ๋วไปแสดงงิ้ว จนงานจบโอ้เอ๋วบอกกับเต๋ว่าเขาชอบการแสดง “กูว่า กูอยากเป็นนักแสดงว่ะ” ถ้อยคำและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ตัวเต๋คิดว่าโอ้เอ๋วต้องการแย่งบทพระเอกที่เขาชอบไปเล่น เหมือนตัวเขาโดนคนที่ไว้ใจหักหลัง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเต๋ไม่เคยคิดว่าโอ้เอ๋วจะมาเป็นคู่แข่ง เขาต้องการเป็นหนึ่งเท่านั้น “กูว่าคนอย่างมึง เดี๋ยวก็เลิกชอบ” พอออกจากปากของเต๋ ส่งไปถึงโอ้เอ๋ว ทำให้โอ้เอ๋วเสียใจมากเช่นเดียวกัน เพราะตัวเขานั้นไม่ได้เป็นคนที่ต้องการเอาชนะมากมาย แต่เป็นคนที่ยังไม่รู้จักความฝันของตนเอง จนวันหนึ่งได้ค้นพบ แล้วถูกอีกคนดูถูกจึงเหมือนการหยิบเอาของมีค่ามาทำลาย ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของทั้งสองคนได้จบลงในทันทีหลังจากเหตุการณ์วันนั้น วันเวลาผันผ่านจนถึงช่วงมัธยมปลาย เต๋เป็นคนเรียนเก่ง เขาได้เรียนศิลป์คำนวณอยู่อีกโรงเรียน ส่วนโอ้เอ๋วเขาเป็นคนที่เรียนได้ไม่ดีเท่าใดนัก เขามีความเป็นมิตรและความเอาใจใส่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้เพื่อน ๆ รัก สถานการณ์ในโรงเรียนพิเศษสอนภาษาจีน เมื่อครูถามคณะที่ต้องการเขา ทำให้เขารู้ว่าในปัจจุบันทั้งสองก็ยังเป็นคู่แข่งกันอยู่เสมอ การพัฒนาการของตัวละคร เริ่มเปลี่ยนแปลงความรู้สึกออกไป เมื่อเริ่มได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาการจนถึงความรักที่เรียกว่า ความรักแบบต้องการยึดครอง หรือ กามะ, ราคะ และสิเนหะ หากเป็นชายหญิงทั่วไปคงไม่มีปมอะไรที่น่าสนใจ แต่ทั้งสองเป็นผู้ชาย การยอมรับในตัวตนการยอมรับในความรัก จึงเป็นเรื่องยากของการทำความเข้าใจ ตัวละครทั้งสองได้เรียนรู้ความรู้สึกรักที่มีต่อกันและกัน การเรียนรู้ สู่การรู้จักรักในมุมของตัวละคร เต๋ เป็นคนที่มีความมุมานะ จริงจังกับชีวิต เรียนหนังสือเก่ง มีความต้องการเอาชนะเป็นหมุดหมายสำคัญ หากเอาหลักการเรื่องสัตว์ 4 ทิศมามองผู้เขียนคิดว่า ตัวละครนี้เหมือน “กระทิง” ที่มีความเป็นผู้นำมีความรับผิดชอบ พร้อมพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย เน้นที่ผลลัพธ์เป็นสำคัญ ไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โอ้เอ๋ว เป็นคนที่มีความชัดเจน ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง หากเอาหลักการเรื่องสัตว์ 4 ทิศมามองผู้เขียนคิดว่า ตัวละครนี้เหมือน “หนู” เขาเป็นคนที่มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อ่อนไหว ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าอย่างอื่น ด้วยความเกรงใจผู้อื่นทำให้เขาไม่ชอบการเป็นผู้นำ ด้วยจิตใจที่อ่อนโยนดังที่กล่าวมาจึงเป็นเสน่ห์ที่สำคัญของตัวละครตัวนี้ การเรียนรู้ของตัวละครในประเด็นแรก คือ การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น “คะแนนมึงแค่เนี่ย มึงสอบไม่ติดหรอก” เป็นประโยคสำคัญที่ออกจากปากของเต๋ เมื่อเขารู้ว่าโอ้เอ๋ว เป็นประธานชมรมการแสดง ด้วยตัวเขาเองนั้นรู้ว่าประกายความฝัน และความเก่งของโอ้เอ๋วมาจากไหน ทำให้เต๋เลือกที่จะหยิบเหตุการณ์ในอดีตมาพูดโดยอ้อม ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของโอ้เอ๋ว ทำให้เขาเดินออกมาจากร้านของหวาน เต๋เองก็รู้ว่าคำพูดดังกล่าวส่งผลต่อจิตใจของผู้ฟังอย่างไร เขาจึงเลือกมาขอโทษทำให้ทั้งสองสามารถปรับความเข้าใจของกันและกันได้ การเรียนรู้ของตัวละครในประเด็นที่สอง คือ การเข้าใจความรู้สึกของตนเอง เป็นเรื่องยากต่อการตัดสินใจของความรู้สึก เมื่อรู้ว่าตนเองชอบผู้ชาย ความรู้สึกตกหลุมรักในสิ่งที่สังคมยังไม่ยอมเปิดรับเต็มที่ทำให้ตัวละครของเต๋ ยังมีความกังวล และเลือกที่จะปัดความรู้นั้นออกไป ขณะที่โอ้เอ๋วนั้นยอมรับความรู้สึกของเองไปแล้ว แต่ก็เหมือนยังขัดแย้งในใจเมื่อรู้ว่าเต๋นั้นคิดอย่างไร ความรู้สึกขัดแย้งในตนเองของตัวละครนี้เอง ทำให้ต้องเลือกผู้ที่มีวัยวุฒิ ประสบการณ์สูงกว่ามาเป็นที่ปรึกษา โอ้เอ๋วเลือกบอกกับพ่อแม่ เต๋เลือกพูดกับพี่ชาย การถ่ายทอดความรู้สึก และการแบกความกดดันที่มีมาจึงลดลง นำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหม่ของเต๋ ที่เขาเลือกตอบรับตามคำเรียกร้องของหัวใจ การเรียนรู้ของตัวละครในประเด็นที่สอง คือ การเข้าใจความรักสู่การเสียสละ เต๋ยอมที่จะสละสิทธิ์เพื่อให้โอ้เอ๋วได้เข้าเรียน การตัดสินใจของเขาไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงตัวเขาเอง ยังส่งผลต่อคนในครอบครัวด้วย แต่เขาก็เลือกที่จะยอมรับมัน และยอมที่จะรอมชอมกับแม่ ผู้เป็นเสาหลักในครอบครัว ประเด็นนี้เรามองได้หลายมุมแต่มุมหนึ่งที่น่าสนใจจะเห็นว่า ตลอดเรื่องราวที่ผ่านมาเขาต้องการเป็นผู้ได้ ผู้ชนะเสมอ เมื่อวันหนึ่งเขาได้เรียนรู้ความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกของคนอื่น ยอมรับในตัวตน ทำให้เขากล้าที่จะเสียสละตำแหน่ง เพื่อคนที่ตนเองรัก มิใช่ด้วยเหตุใด แต่เป็นเหตุจากความปรารถดี เป็นความรักแบบเสียสละ ในฐานะของมิตรแท้ คือ มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข มิตรแนะประโยชน์ และมิตรมีน้ำใจ เป็นต้นสรุป ท้ายสุดแล้วผู้เขียนคิดว่า แปลรักฉันด้วยใจเธอ (I told sunset about you) เป็นอีกซีรีส์ที่ทำให้คนดูได้เรียนรู้ การรู้จักรัก ความรักที่ไม่กำหนดเพศ การแบกรับความกดดันของคนในครอบครัว การใช้ชีวิตในวัยมัธยม หากผู้ใหญ่ดูก็ได้เรียนรู้การเป็นเด็ก (ที่อาจลืมไป) เด็กดูก็ได้เรียนรู้แนวคิดในการตามล่าความฝัน และระหว่างทางของมิตรภาพ ล่าสุดได้ยินมาว่า แปลรักฉันด้วยใจเธอ (I told sunset about you) Part 2 กำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้ครับที่มารูปภาพ : แปลรักฉันด้วยใจเธอ (I told sunset about you), หน้าปก, ภาพที่ 1, ภาพที่ 2, ภาพที่ 3, ภาพที่ 4, ภาพที่ 5, ภาพที่ 6 และภาพที่ 7