"ความทุกข์ความร้อนใจไม่ใคร่จะใฝ่หา ความสุขซึ้งตรึงอุราต่างโหยหามาครอบครอง"ความทุกข์ คือ สิ่งอันไม่พึงปรารถนาของใคร ๆ เพราะทุกข์คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นความเจ็บความปวด คือทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นแล้วผู้ประสบไม่พึงปรารถนา ความสุข คือ สิ่งอันใครต่างพึงปรารถนา เพราะสุขคือความสบายกาย สบายใจ เป็นสิ่งอันเกิดขึ้นแล้วผู้ประสบพึงปรารถนา เกิดความอิ่มเอมใจ ชอบใจ แต่โดยพื้นฐานแล้วเราจะประสบแต่สิ่งอันพึงปรารถนาอย่างเดียวนั้นไม่อาจเป็นไปได้ นั่นหมายความว่าเราต่างพบกับความทุกข์ได้ทุกเมื่อ หากมีสิ่งอันไม่พึงปรารถนามาสู่ตน เมื่อเกิดทุกข์ เราก็อยากให้ทุกข์นั้นหายไปโดยเร็ว เช่น ทุกข์เกิดจากความเจ็บเพราะโดนมีดบาด ก็ปรารถนาจะให้ความเจ็บนั้นหายไป ทุกข์เพราะหิว ก็ปรารถนาจะหาอาหารมาใส่ปากใส่ท้องเพื่อระงับความทุกข์นั้น แต่ยามใดในชีวิตที่มีสุขเราก็ต่างจะปรารถนาให้เหตุแห่งสุขนั้นอยู่กับเราไปตลอด เช่น สุขเพราะได้รับประทานอาหารอร่อย ก็ชอบอกชอบใจหวังจะได้รับประทานอาหารอร่อย ๆ ไปโดยตลอด สุขเพราะได้อยู่กับคนรัก ก็พึงใจให้ได้อยู่เคียงคู่กันไปนานแสนนานไม่อยากพรากจากกัน ถึงตรงนี้เราคงเข้าใจในความหมายของคำว่า "ทุกข์" และ "สุข" ที่ตรงกัน สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ เราต้องเข้าใจหลักคิดพื้นฐานว่าทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นสภาวะที่เกินกว่าจะควบคุมได้ เราต้องมองให้เห็นว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นำจิตใจเข้าไปผูกติดอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ต้องทำใจเป็นกลางวางเฉย ไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวที่มากระทบจิตใจ หมายความว่าเมื่อมีเรื่องราวที่ทำให้เราพึงพอใจ ชอบใจ เราก็ต้องไม่หลงใหลในความชอบใจนั้น แต่ควรวางเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นรับรู้มองเห็นความเป็นไปว่าสิ่งนั้นทำให้เราเป็นสุข ทำให้เราอิ่มเอมใจ แต่ไม่หลงใหลไปกับความสุขนั้น เพราะหากเรานำตัว นำจิตใจ เข้าไปผูกอยู่กับอารมณ์อันเป็นสุขที่เกิดขึ้นจากความชอบใจนั้น เราก็จะโหยหาและปรารถนาความสุขเช่นนั้นอีก และต้องการมากขึ้น ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อใดก็ตามที่ความต้องการของเรามีมากขึ้นและมากขึ้น แต่กลับไม่ได้ในอย่างที่ต้องการ เราก็จะพบกับสภาวะที่เรียกว่า "ทุกข์" เป็นความเจ็บปวดทางจิตใจ ความเศร้าโศกเสียใจ บางคนทุกข์ใจมากจนทำร้ายตัวเองเพราะคิดจะยุติความทุกข์นั้นด้วยการลาจากโลกไป นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้จักกับความทุกข์ แต่หากเรารู้จักความทุกข์ เมื่อเกิดความทุกข์แล้วเราก็มองดูทุกข์ รับรู้ในความทุกข์ที่เราได้ประสบ แต่ไม่เอาตัวเข้าไปจมอยู่ในความรู้สึกทุกข์นั้น ไม่จมอยู่กับอารมณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์จากความผิดหวัง ก็มองดูมองอย่างรับรู้ว่าผิดหวัง ทุกข์จากความพลัดพราก ก็มองดูมองอย่างรับรู้ว่าผิดหวัง แต่ไม่นำจิตใจเข้าไปผูกอยู่กับสภาวะแห่งทุกข์นั้น พิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งธรรมดา เป็นของปกติที่เกิดขึ้น เราจะไม่นำจิตใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้เป็นทุกข์ หรือกล่าวได้ว่าเรามองดูเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลางวางเฉย มองดูอย่างรับรู้ว่าทุกข์-สุขเกิดจากอะไร และทุกข์-สุขเป็นอย่างไร แต่ไม่เอาใจไปเป็นทุกข์และเป็นสุข เหมือนอย่างที่หลวงพ่อปัญญา นันทะภิกขุ ท่านได้เคยให้โอวาทธรรมเป็นคติเตือนใจว่า "แม้เราจะต้องอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เราจะไม่วุ่นวายกับเขา คนอื่นเป็นทุกข์เราจะไม่เป็นทุกข์กับเขา คนอื่นร้อนใจเราจะไม่ร้อนใจกับเขา คนอื่นหลงเราจะไม่หลงกับเขา คนอื่นมัวเมาเราจะไม่มัวเมากับเขา" จากโอวาทธรรมของหลวงพ่อปัญญานี้ หมายความว่าเรามองดูด้วยความรับรู้แต่ไม่ร้อนใจไปกับอะไรทั้งสิ้น อย่าหลงใหลหรืออ่อนไหวไปตามเรื่องราวก็เพราะว่าเรื่องราวต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของที่เราจะต้องเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องยาก ซึ่งก็ยากจริง ๆ ในการที่จะทำใจให้เป็นกลางวางเฉยจากสภาวะแห่งอารมณ์ ไม่อนาทรร้อนใจไปกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่มากระทบ การจะวางเฉยจากเรื่องราวที่เป็นสุขและเรื่องราวที่เป็นทุกข์ได้ต้องอาศัยการฝึกฝนตนเอง เพราะโดยปกติแล้วความสุขและความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากการ "ยึดติด" ยึดติดว่าเป็นตัวเป็นตนในขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป คือ สิ่งที่มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างมองเห็นเป็นรูปธรรมเวทนา คือ สิ่งที่เป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ พอใจ ดีใจ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ ความระลึกถึงสังขาร คือ ความคิดปรุงแต่งวิญญาณ คือ จิต ทีรับรู้ผ่าน ตา หู จมูก ปากสังขารกับวิญญาณนั้น ดูว่าจะคล้ายกันคือเป็นเรื่องของจิต ความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจในหลักของการยึดติดก็สามารถสรุปได้คร่าว ๆ ว่า เรามักยึดติดและลุ่มหลงอยู่กับ รูปลักษณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ความระลึกถึง เราควรจะต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดเป็นของที่เราจะต้องไปยึดถือไว้ รูปลักษณ์วันนี้เป็นอย่างไรวันต่อไปก็ไม่ได้เป็นอยู่อย่างนั้น ต้องมีความเปลี่ยนแปลงไป วันนี้ผิวพรรณเคยเต่งตึงดูสดใสวันหนึ่งต้องเหี่ยวย่นไปไม่สดใสดังเดิม หู ตา เคยมองเห็นกว้างไกลได้ยินชัด วันหนึ่งก็ได้ยินไม่ถนัดเห็นไม่ชัดได้เหมือนกัน เป็นสัจธรรมของชีวิตคือเป็นความจริงอันสูงสุดที่เราต้องทำความเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจในความจริงที่จะเป็นไปเราก็จะทำใจเป็นกลางวางเฉย ไม่รู้สึกสุขไม่รู้สึกทุกข์กับรูปลักษณ์ต่าง ๆ เพราะว่าเราเข้าใจว่าที่มันเป็นไปในแบบต่าง ๆ นั้นมันคือความเป็นธรรมดา เมื่อเรามองเห็นว่ามันเป็นธรรมดาเราก็จะไม่เอาตัวไม่เอาใจเข้าไปรู้สึกยินดียินร้ายด้วย เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความระลึกถึงก็เช่นกัน หากเกิดเรื่องใดที่ขัดใจทำให้เรารู้สึกโกรธ รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ เราต้องเรียนรู้จากความทุกข์ เพื่อให้รู้ทาง จำลักษณะอาการของอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเพื่อให้รู้ทางและรู้ทัน ขอยกตัวอย่างเช่นมีคนมาขอความช่วยเหลือจากเรา มายืมเงินเรา ครั้งแรกมาบอกว่าพ่อป่วย ครั้งต่อมาขอยืมเพราะแม่ป่วย ครั้งต่อมาขอยืมอีกบอกว่าพี่ป่วย ครั้งต่อมาก็น้องป่วยต้องมาขอยืมเงินเราอีก เราก็เริ่มเรียนรู้ที่จะไม่ให้เงินช่วยเหลือเขาแล้ว เพราะเราเริ่มเรียนรู้ด้วยความรู้ทางรู้เท่าทันเขาแล้ว แต่กับเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกที่มากระทบทำให้เราไม่ถูกใจทำไมเราจึงยังเป็นทุกข์ ก็เพราะเราไม่ได้เปิดใจที่จะเรียนรู้เพื่อให้รู้เท่าทัน สูญเสียคนรักไปครั้งแล้วครั้งเล่าเราก็เป็นทุกข์ทุกครั้ง ไม่เกิดการเรียนรู้ว่าการสูญเสียนั้นเป็นของธรรมดา ทำงานประสบความสำเร็จก้าวหน้าขึ้นไปทุกครั้ง ก็ยินดีในความก้าวหน้านั้นทุกครั้ง ไม่ได้มองเห็นและเรียนรู้ว่ามันเป็นของธรรมดาแต่กลับเอาใจเข้าไปยินดี เอาใจเข้าไปเป็นสุขในความก้าวหน้านั้น ดังนั้นสุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาใจเข้าไปเป็นอารมณ์สุขหรือทุกข์ในเรื่องที่เกิดขึ้น พูดมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะมองว่าการให้ทำใจเป็นกลางวางเฉยนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งก็เป็นเรื่องยากจริง ๆ แต่ความยากก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เราต้องอาศัยการหมั่นฝึกฝน การเรียนรู้กับอารมณ์ให้มาก แล้ววันหนึ่งเราก็จะสามารถอยู่กับความสุขความทุกข์ทั้งหมดได้ด้วยใจที่เป็นกลางวางเฉยไม่ลุ่มหลงไปในความสุขและไม่เศร้าโศกไปกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องเริ่มเรียนรู้และเริ่มทำความเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิต มาพิจารณาจิตใจของตนเองฝึกจิตใจของตนเองให้รับรู้และเข้าใจว่าทั้งสุขและทุกข์นั้นเป็นธรรมดาวิสัย มิใช่สิ่งแปลกใหม่แต่เป็นเช่นนี้มานานนักหนาแต่จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่รู้จบ หากเราเอาใจเข้าไปทุกข์ไปสุข เราก็จะสุขแบบทุกข์ ๆ ไปอีกไม่รู้จบ ดังนั้นควรเราจึงจะทำใจให้เป็นกลางวางเฉยไม่ยินดียินร้ายในทุกห้วงแห่งอารมณ์สุขและทุกข์ เราก็จะพบกับความเป็นปกติวิสัยในชีวิตก็คือไม่รู้สุขและไม่รู้สึกทุกข์ เพราะเราเข้าใจในความเป็นไปของเรื่องราว ภาพปกจาก Ivan Samkov / pexelsภาพที่ 1 จาก Jawad Jawahir / pexelsภาพที่ 2 จาก Aleksandr Balandin / pexelsภาพที่ 3 จาก Ivan Samkov / pexelsภาพที่ 4 จาก S Migaj / pexelsภาพที่ 5 จาก Phiphat เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !