นำชม - เที่ยวทิพย์ : โบราณสถานในเมืองแพรกศรีราชา / เมืองสรรคบุรี อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ตอนที่ ๑โดย นายสัณหวัช รามพูล (ขนุน) - นามปากกาและนามช่างภาพ : สัณหภพโคจร ต.อ. ๗๙เตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ ๗๙โบราณคดีรุ่นที่ ๖๕ ศิลปากรรุ่นที่ ๗๖สาขาวิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวเมืองโบราณแห่งหนึ่งของประเทศไทย นั่นก็คือ "เมืองแพรกศรีราชา" หรือ "เมืองสรรคบุรี" นั่นเองครับ เมืองแพรกศรีราชา เป็นเมืองที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ (ประมาณ ๗๐๐ - ๙๐๐ ปีมาแล้ว) อาจมีมาตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย ดังความว่า "เบื้(อ)งหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพขรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว" ส่วนเมืองสรรคบุรีเป็นชื่อของเมืองแห่งเดียวกันที่ปรากฏในสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมาครับแต่บริเวณทางใต้ของเมืองแห่งนี้ลงไปปรากฏร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คนมาตั้งแต่สมัยทวารวดีซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้นหลายร้อยปีที่ "เมืองโบราณดงคอน" ที่ปรากฏร่องรอยของสิ่งก่อสร้างที่เรียกกันว่า "โคกปราสาท" และพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ คือ เหรียญเงินทวารวดีซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ นอกจากนี้ "เมืองแพรกศรีราชา" หรือ "เมืองสรรคบุรี" ยังเป็นหนึ่งในข้อสันนิษฐานที่ว่า "อาจเป็นที่ตั้งของแคว้นขนาดเล็กที่เรียกว่า "เจนลีฟู (Chen li fu/Chon li fu/Chan li po) ที่ปรากฏการกล่าวถึงในจดหมายเหตุของราชวงศ์ซ่ง (Sung hui yao kao) ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (ประมาณ ๘๐๐ - ๙๐๐ ปีมาแล้ว) โดยระบุว่า กษัตริย์ผู้ครองเจนลีฟูทรงพระนามว่า กมรเตงอัญศรีฟันหุยชิ (Kamarateṇ Añ Sri Fan-hui-chih) ผู้ซึ่งครองราชย์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๒๓ ได้ส่งทูตและเครื่องบรรณาการไปเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้ากับราชสำนักจีนหนานซ่ง (ราชวงศ์ซ่งใต้) ใน พ.ศ.๑๗๔๓, พ.ศ.๑๗๔๕ และ พ.ศ.๑๗๔๘ ครับ โบราณสถานสำคัญภายใน "เมืองแพรกศรีราชา" หรือ "เมืองสรรคบุรี"วัดพระแก้ว "เมืองสรรคบุรี" หรือ "เมืองแพรกศรีราชา"วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอก "เมืองสรรคบุรี" หรือ "เมืองแพรกศรีราชา" ปรากฏหลักฐานวัตถุสถานดังต่อไปนี้สถูปเจดีย์ในศิลปะแบบอโยธยา - สุพรรณภูมิ ที่สวยงามเด่นสง่า สมกับสมญานามว่า "ราชินีเจดีย์แห่งอุษาคเนย์" อาจมีมาแล้วตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ โดยมีเอกลักษณ์ที่สำคัญของเจดีย์ในศิลปะแบบอโยธยา - สุพรรณภูมิ คือ มักขึ้นรูปจากฐานสี่เหลี่ยม แล้วมีคูหารูปแปดเหลี่ยมตั้งซ้อนขึ้นไป โดยมีองค์ระฆังของพระเจดีย์ทรงกลมตั้งเป็นส่วนยอด เจดีย์องค์นี้นับเป็นความประทับใจอย่างมากสำหรับการมาท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ และทำให้ท่านผู้อ่านที่มาตามรอยประทับใจด้วยเช่นกัน• อิทธิพลพระพุทธรูปจากล้านนาในพระพุทธรูปภายในซุ้มจระนำของสถูปเจดีย์ในศิลปะแบบอโยธยา - สุพรรณภูมิที่วัดพระแก้ว เมืองสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เทียบได้กับพระพุทธรูปที่เจดีย์ในวัดอุ้มโอ จังหวัดเชียงใหม่ ดูแล้วอิ่มเอมไป เมื่อเสพความงามของพุทธศิลป์เมืองแพรกศรีราชา/สรรคบุรี แล้ว ยังความประทับใจให้ผมอย่างมิรู้คลาย •หลวงพ่อฉายเป็นพระพุทธรูปหินทรายแดงในศิลปะก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้นที่เรียกว่า "ศิลปะแบบอู่ทอง" ที่อาจสลักจากชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมของปราสาทแบบเขมรโบราณ เพราะปรากฏทับหลังในศิลปะเขมรแบบบาปวนที่พระปฤษฏางค์ (หลัง) ของพระพุทธรูป โดยศิลปะเขมรแบบบาปวนเป็นศิลปะที่ปรากฏในดินแดนไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (ประมาณ ๑,๐๐๐ - ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว) ครับ ก่อนหน้าการเกิดขึ้นของ "เมืองสรรคบุรี" หรือ "เมืองแพรกศรีราชา" ครับทับหลังมีภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณอยู่เหนือหน้ากาลที่มีท่อนพวงมาลัยต่อออกมาแล้วโค้งงอยาววกเป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่มีลายใบไม้ตั้งเหนือท่อนพวงทาลัยและลายใบไม้ม้วนใต้ท่อนพวงมาลัย ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในศิลปะเขมรแบบบาปวนที่มีอายุตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (ประมาณ ๑,๐๐๐ - ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว)หลวงพ่อฉายนับว่าทั้งหลวงพ่อฉายและทับหลังด้านหลังเป็นงานศิลปกรรมที่สวยงาม ยังความประทับใจให้แก่ผู้ชม ได้ทั้งไหว้พระทำบุญและความรู้เกี่ยวกับโบราณคดี ประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลปะเลยนะครับแล้วมาเที่ยวและสำรวจโบราณวัตถุสถานใน "เมืองแพรกศรีราชา" หรือ "เมืองสรรคบุรี" กันต่อในตอนที่ ๒ หมายเหตุภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียนและถ่ายภาพโดยผู้เขียนเท่านั้น อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !