" ปล่อยกาย ปล่อยใจ ให้ไหลหลงไปกับธรรมชาติ " ใครจะไปคิดละว่า วันนึงจะได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ นอนชมหมู่ดาวในยามค่ำคืนที่สุกใสอยู่เต็มท้องฟ้า แถมยังเป็นสถานที่ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ทุกคลื่นความถี่อีกด้วย เรียกได้ว่าหากตัดสินใจขึ้นมาที่ช่องเย็นแล้ว ต้องละทางโลกทั้งหมดแบบจะติดต่อใครก็ไม่ได้ จะอัพรูปลงให้เพื่อน ๆ ดู ก็ต้องรอลงไปด้านล่างก่อน แต่ข้อดี ก็คือ เราจะได้มีเวลาอิ่มเอมกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ " ทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ " เมื่อมาถึงอุทยานฯ เราจะเจอป้อมแรก จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำคร่าว ๆ ว่าเราต้องไปติดต่อลงทะเบียนพักในอุทยานฯ ได้ที่ไหน พอเราผ่านด่านแรกตรงทางเข้าอุทยานฯ ให้ขับรถตรงมาเรื่อย ๆ อีกพักใหญ่ ( ในช่วงนี้จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นะคะ ) จะเห็นป้ายชี้ว่าถึง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้เราเลี้ยวขวาลงมาตามทางได้เลยค่ะ ( ตรงจุดนี้จะมีสัญญาณโทรศัพท์ค่ะ ) " ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว " พอมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โอ๋กับเพื่อนก็ลงจากรถเพื่อมาลงทะเบียนเข้าพัก และจ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ วันนั้นถือว่าโชคดีมากที่คนยังไม่ครบตามจำนวนที่ทางอุทยานฯ กำหนด ( 150 คนต่อวัน ) และยังไม่ถึงเวลาปิดทางขึ้น ( ค่าใช้จ่าย : ค่าเข้าคนละ 40 บาท , รถยนต์คันละ 30 บาท , ค่ากางเต็นท์คนละ 30 บาท ) วันที่โอ๋ไปนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวพอดี 25/12/2561 อุณหภูมิประมาณ 13 องศา " จุดรับ - ฝาก และ ลงทะเบียนรับถุงผ้า " ตามประกาศในช่วงนั้น เกือบทุกอุทยานฯ จะมีการขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวในการ งดนำถุงพลาสติก โฟม เข้าในเขตอุทยานฯ และให้นักท่องเที่ยวจัดเตรียมถุงใส่ขยะมาเอง เพื่อนำมาใส่ขยะจากด้านบนลงมาทิ้งด้านล่าง " เส้นทางขึ้นช่องเย็น " หลังจากลงทะเบียนจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาขับรถขึ้นไปที่ ช่องเย็น ซึ่งในตอนนั้น เอาจริง ๆ ทั้งโอ๋และเพื่อนก็ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะคดเคี้ยวแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่พี่เจ้าหน้าที่ด่านสุดท้ายบอกว่าขับขึ้นไปไม่กี่กิโลเมตรก็จะสุดทางแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่มันหลายเลี้ยวเชียวนะ แถมยังต้องขับแข่งกับพระอาทิตย์ ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าอีกด้วย " ป้ายช่องเย็น 12 กม. " ขับมาสักพักใหญ่ ก็มาเจอป้ายนี้เข้า ( ขาขึ้นไปไม่ได้ถ่าย เพราะมัวแต่รีบ ) ทำให้ใจชื้นขึ้นมาทันที คือ ไม่หลงแล้วแน่นอน ฮ่า ๆ เพราะสองข้างทางมีแต่ป่าและป่า แถมต้องขับช้า ๆ เพราะต้องระวังสัตว์ป่าที่เริ่มออกมาอวดโฉมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมาไน ไก่ป่า ฯลฯ ดีนะไม่มีพี่ตีนโต " ลานกางเต็นท์ช่องเย็น " และแล้วก็เดินทางมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 93 ถนนหมายเลข 1117 ซึ่งหากขับเลยขึ้นไปอีกนิดจนสุดทางก็จะเจอป้าย สุดเมืองกำแพง สุดแดนช่องเย็น ( ครั้งแรกในชีวิตเลยนะ ที่มาไกลขนาดนี้ ) และถือว่าเป็นความโชคดีที่มาทันตอนตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าพอดิบพอดี งั้นขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย หลังจากเก็บภาพบรรยากาศเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาในการขนสัมภาระลงจากรถเสียที ยังดีนะที่พอมีที่เหลือให้กางเต็นท์ตรงโซนด้านหน้าอยู่บ้าง " บ้านพักของทางอุทยานฯ " เท่าที่เห็นจะมีประมาณ 5 ห้อง ถ้ามาเป็นครอบครัวมีเด็ก ๆ มาด้วย แนะนำให้จองห้องพักด้วยก็จะดีมาก ๆ เลยค่ะ เพราะห้องน้ำที่ทางอุทยานฯ จัดไว้สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวที่มากางเต็นท์นั้น จะมีอยู่แค่สองฝั่ง และมีจำนวนห้องสุขาที่จำกัดด้วย " จุดกางเต็นท์มุมสวย " จะด้วยความโชคดีหรืออย่างไรไม่ทราบแน่ ทำให้โอ๋กับเพื่อนได้มุมกางเต็นท์ที่สวยงาม เกือบอยู่ตรงกลางช่องเขา แม้จะอยู่ถัดมาหนึ่งแถวก็ตาม ( แถวหน้าจะเป็นแนวเต็นท์ของทางอุทยานฯ ที่จัดไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวที่จองเข้ามาทางออนไลน์ ) แต่ถ้าให้โอ๋แนะนำนะ หากเพื่อน ๆ มาสายแค้มป์ปิ้งแล้ว จัดหาเต็นท์ไว้เป็นส่วนตัวจะดีมากเลย และหากเดินทางกัน 2 คน ขอแนะนำให้เลือกดูเต็นท์ขนาด 3 - 4 คนแทน ซึ่งจะเหมาะที่สุด อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงของโอ๋เองเลยละ เพราะเราต้องเผื่อที่ไว้สำหรับเก็บสัมภาระบางส่วน เวลานอนเวลาขยับตัว รวมถึงความสูงของเต็นท์เวลาเรายืนขึ้นอีก " เมนูเห็ดออรินจิผัดน้ำมันหอย " อีกหนึ่งเสน่ห์ของการมาแค้มป์ปิ้ง คือ การทำกับข้าวกิน ซึ่งในวันนี้วัตถุดิบเท่าที่จัดหามาได้ที่ตลาดนัดก่อนทางขึ้นอุทยานฯ ก็คือ กะหล่ำปลี แคปหมู เห็ดออรินจิ และน้ำพริก ลืมบอกไปด้านบนของที่พอมีขายจะเป็นจำพวก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊ก ดังนั้นเราต้องเตรียมเสบียงขึ้นมาเอง และนำเศษอาหารเหลือทิ้ง ใส่รถกลับลงไปทิ้งยังจุดที่กำหนดด้านล่าง " จุดชมวิวภูสวรรค์ " เส้นทางขึ้นจะอยู่เลยห้องน้ำ ( ฝั่งลานกางเต็นท์ใกล้กับบ้านพักอุทยานฯ ) เห็นป้ายบอก 300 เมตร ใจคิดเอาไว้เลยว่า พรุ่งนี้เช้าจะรีบตื่นแต่เช้า แต่งตัวแบบจัดเต็ม ผ้าพันคอ เสื้อหนาว เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปสวย ๆ ด้านบนกับสายหมอก " ป้ายต้อนรับ " พอเราเดินพ้นแนวกำแพงห้องน้ำมาก็จะเจอกับเจ้าป้ายนี้เข้า เป็นป้ายยินดีต้อนรับผู้พิชิตภูสวรรค์ พอเห็นป้ายแค่นั้นแหละ จิตใจก็ฮึกเหิมน่าดู อยากเดินขึ้นไปบนภูไว ๆ ก็ป้ายบอกว่าแค่ 300 เมตรเองนี่นา " จุดเริ่มต้นของเส้นทาง " บันไดทางขึ้นก็จะเป็นขั้น ๆ ประมาณนี้ ดูแล้วก็ไม่น่าจะยากลำบากอะไรใช่ไหมคะ แต่อย่าลืมนะเราเดินขึ้นเขา และที่สำคัญโอ๋ไม่ได้เตรียมร่างกาย แถมยังใส่แตะขึ้นเขาอีก รวมถึงเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ ที่ท้ายสุดแทบอยากจะถอดทิ้งกลางทางให้ได้ หลังจากก้ม ๆ เงย ๆ พักใหญ่ เพราะยิ่งเดินขึ้นที่สูงเรื่อย ๆ ก็ดูเหมือนจะหายใจติดขัด ตามประสาคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ( ซึ่งหลังจากทริปนี้ โอ๋กลับมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา และจังหวะการหายใจของตัวเอง ) จังหวะที่ก้มลง ก็เห็นข้อความที่พื้นเขียนว่า ทำปี 58 ซึ่งก็น่าจะหมายถึงปีที่ทำขั้นบันไดนี้รึเปล่า ( ไว้เพื่อน ๆ ไปเที่ยว ก็อย่าลืมลองมองหากันดูนะคะ ) สภาพเส้นทางที่เดินขึ้นมา โอ๋เดินเกาะต้นไม้ริมทางมาเรื่อย ก้าวเท้าแต่ละทีก็แทบจะก้าวไม่ออก ใจก็อยากขึ้นไปให้สุดนะ แต่พอเหลียวมองรอบตัว ดันกลัวความสูงซะงั้น ระหว่างทางได้ยินเสียงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาก่อนจากทางด้านบน แสดงว่าใกล้ถึงแล้วแน่นอน แต่พยายามฝืนร่างกายยังไงมันก็ไม่ไหวจริง ๆ ต้องขอหยุดพักตรงนั้นและหันหลังเดินกลับที่พักดีกว่า เพราะกลัวว่าถ้าฝืนไปมากกว่านี้มันอาจจะแย่เอาได้ " จุดชมพระอาทิตย์ตก และทะเลหมอก " พี่เจ้าหน้าที่บอกโอ๋ว่า หากมาถูกช่วง ถูกจังหวะก็อาจจะเจอทั้งสายลมที่พัดผ่านช่องเขา และสายหมอก แต่ในช่วงที่โอ๋กับเพื่อนไปแค่สายลมยามค่ำคืนก็เย็นสุดขั้วแล้วละ พัดทีกลัวเต็นท์จะปลิวตามแรงลม ดีนะที่ยึดสมอบกไว้อย่างแน่นหนา ยามเช้าขอแวะมาเดินเล่น สุดเมืองกำแพง สุดแดนช่องเย็น เสียหน่อย เส้นทางที่ถูกปิดอยู่นั้นเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่หากเราจะเข้าไป ต้องทำเรื่องขออนุญาตกับทางอุทยานฯเสียก่อน " โซนห้องน้ำ และจุดล้างภาชนะ " ในโซนนี้จะมีห้องอาบน้ำ ห้องสุขาเยอะกว่าทางฝั่งที่จะเดินขึ้นไป ภูสวรรค์ โดยเฉพาะจุดล้างภาชนะ ที่แบ่งไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน " เต็นท์ของทางอุทยาน ฯ " หากเพื่อน ๆ ใช้บริการเต็นท์ของทางอุทยานฯ ข้อดีคือได้อยู่แถวหน้า แบบไม่มีใครบังวิว ได้เห็นวิวแบบชัดเจน รับสายลมแบบเต็มปอด " ตัวคุ่น แมลงจอมป่วน " มักจะออกมาทักทายยามสาย เวลาถูกกัดแล้วจะเป็นแผล เป็นตุ่มคัน มีรอยจ้ำทำให้เป็นเลือดคั่งด้านในผิวหนัง อาจมีน้ำเหลืองใส ๆ และเกิดอาการอักเสบได้ ดังนั้นอย่าลืมเตรียมสเปรย์ตะไคร้หอมมากันด้วยนะคะ " เศษอาหารเหลือทิ้ง " อย่างที่โอ๋บอกไว้แต่แรกว่า เราต้องเตรียมถุงขยะมาใส่ขยะที่เราทิ้ง และเก็บลงไปทิ้งด้านล่างอุทยานฯ เอง ซึ่งโอ๋มองว่าเป็นเรื่องดีเลยนะ เพราะจะทำให้คนเราตระหนักถึงของต่าง ๆ ว่าต้องใช้ให้คุ้มค่าก่อนทิ้ง ก็ดูสิโอ๋มาค้าง 2 คืน ขยะมีเท่าที่เห็น ป้ายตารางบอกเวลาขึ้น-ลง " ช่องเย็น - ขุนน้ำเย็น " ทำไมต้องมี เพราะเนื่องจากถนนที่ขึ้นมาค่อนข้างที่จะแคบ ตอนที่โอ๋กับเพื่อนขึ้นมาน่าจะเป็นช่วงรอยต่อช่วงเวลาขึ้นลงพอดี แต่ยังโชคดีนะที่ขับขึ้นมาแบบช้า ๆ เลยไม่เกิดอุบัติเหตุ ( คือมีรถที่กำลังลงมาจากช่องเย็นสวนลงมาพอดี ) ซึ่งพอขึ้นมาถึงลานกางเต็นท์เจอเจ้าหน้าที่ โอ๋เลยสอบถามว่าทำไมถึงมีการกำหนดเวลา คำตอบที่ได้ คือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่มันก็ยังมีบ้าง ในช่วงรอยต่อของรอบเวลาแบบที่โอ๋เจอ ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่จะไปพักหรือไปแค้มป์ปิ้งที่ช่องเย็น อย่าลืมตรวจสอบรอบเวลาให้ดีกันด้วยนะคะ ช่องเย็นอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อันที่จริงแล้ว มีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะเลยนะ ก็ดูอย่างภูสวรรค์สิที่ครั้งนี้โอ๋ไม่สามารถพิชิตภูได้สำเร็จ เพราะร่างกายไม่พร้อม จนต้องกลับมาฟิตร่างกายใหม่อีกครั้ง และสัญญาว่าจะขอกลับไปพิชิตภูสวรรค์ใหม่อีกสักรอบ แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้นยังไม่สามารถให้คำตอบได้ ฮ่า ๆ ภาพปกและภาพประกอบ โดย : Oh Wanwisa