อื่นๆ

วิญญาณผีสาว

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
วิญญาณผีสาว

          การสะพายเป้เที่ยวเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมและเพื่อนๆ ชื่นชอบเป็นอย่างมาก และเป็นกิจกรรมที่ท้ายทายอย่างหนึ่งของวัยรุ่น เพราะเราไม่รู้ระว่าหว่างทางจะเจอกับอะไรบ้างเรียกว่ามีเรื่องให้ต้องได้ลุ้นกันตลอดเวลา ผมและเพื่อนอีกสองคนคือ ปู กับ กร พากันเดินทางไปสถานที่ unseen แห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี โดยอาศัยรถสองแถวบ้าง โบกรถข้างทางเอาบ้าง ซึ่งถนนหนทางยากลำบากน่าดูเลยทีเดียว แต่พวกเราก็มาถึงยังจุดหมายปลายทางจนได้ สถานที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่อยู่บนยอดเขาติดกับชายแดนพม่า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีความสวยงาม มีแอ่งน้ำใหญ่ใสสะอาดสีเขียวมรกตอยู่กลางหมู่บ้าน หากยืนมองจากเนินเขาของหมู่บ้านจะเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาเป็นเขตแดนของพม่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ก็มีไม่มากนัก หลังจากที่ผมและเพื่อนๆ เดินทางมาถึงแล้วเดินสำรวจความเรียบง่ายสวยงาม และสะอาดตาของหมู่บ้านนี้ได้สักพัก ก็มาพบกับโฮมสเตย์แห่งหนึ่งจึงตัดสินใจเช่าโฮมสเตย์นี้นอน เจ้าของบ้านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส่ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

Advertisement

Advertisement


           ตกเย็นพวกเราเดินมานั่งเล่นกันที่สวนสาธารณะที่ต้องเดินออกมาจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าสวนสาธารณะแห่งนี้จะตั้งใจทำไว้เพื่อนต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มีการจัดสถานที่ไว้อย่างสวยงาม มีการจัดเรียงก้อนหินรูปร่างแปลกๆ ไว้ให้ชม มีต้นไม้แปลกๆ หายากหลายชนิด รวมถึงดอกไม้สีสันสดใสจำนวนมาก ทำให้เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายหายเหนื่อยจากที่เดินทางมาได้ไม่น้อย ไม่คิดไม่ฝันว่าในป่าในดงธุรกันดารจะมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ ระหว่างที่พวกผมนั่งชมความงามในสวนสาธารณะอยู่นั้นก็มีนักท่องเที่ยวคนอื่น เดินมาถ่ายรูปกันเป็นระยะ แล้วปูก็ชี้ให้ผมกับกรดูว่าด้านล่างเนินเขามีทางบันไดให้เดินลงไปได้ และมีศาลาอยู่ด้านล่างที่อยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นน่าลงไปนั่งเล่นกัน จึงพากันเดินลงตามแนวขึ้นบันไดหินปูนเก่าซึ่งก็สูงอยู่พอสมควร พอลงไปถึงศาลาก็ฟุบลงนั่งหอบไปตามๆ กัน ระหว่างที่นั่งพักอยู่ที่ศาลากันนั้นก็มีลุงชาวเขาสองคนเดินเข้ามาถามไถ่และบอกกับพวกเราว่า " อย่าขึ้นไปค่ำมากนะเดี๋ยวจะมาองทางขึ้นไม่เห็นจะอันตราย แล้วอย่าลืมยกมือไหว้ผีป่าผีเขาด้วยนะ จะได้ไม่มีผีป่านางไม้มารบกวน " พวกเราก็ตอบรับอย่างเป็นกันเองแล้วนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนค่ำ กรจึงพูดขึ้นว่า " ตายแล้วมืดจนได้ มองทางไม่เห็นแล้วเนี่ย พวกเรารีบกลับขึ้นไปดีกว่า " จากนั้นพวกเราจึงค่อยๆ คลำทางเดินขึ้นไปเพราะมองทางแนวขึ้นบันไดไม่ค่อยเห็นอย่างที่ลุงชาวเขาบอกไว้จริงๆ ่จึงคอยให้เสียงบอกกันเป็นระยะว่า ค่อยๆ เดินระวังๆ นะไม่ต้องรีบ ขณะที่พวกเรากับลังก้มหน้าก้มตาเดินกันอยู่นั้นปูที่เดินนำหน้าเพื่อนก็ทำเหมือนจะเซหงายหลังลงมา แต่ก็มีมือของหญิงสาวคนหนึ่งมาคว้าแขนของปูไม่ให้หงายหลังลงไปได้ แล้วนำทางพวกเราจนขึ้นกลับมาด้านบนได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันจะขอบคุณและเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้นชัดเจน เธอหาเดินหายไปในความมืดโดยที่พวกเรามองไม่ทันว่าเธอเดินไปทางไหน ผมและเพื่อนจึงพากันเดินกลับที่พักระหว่างทางกลับก็มองเห็นศาลไม้เก่าๆ ตั้งอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ก่อนถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน พวกเราจึงยกมือไหว้ตามคำแนะทำที่ลุงชาวเขาบอกเมื่อตอนเย็น จากนั้นพวกเราก็เร่งฝีเท้ากลับไปที่ห้องพักเพราะมืดมากแล้ว เมื่อมาถึงที่พักผมและเพื่อนก็คุยกันถึงเรือ่งหญิงสาวคนนั้น เพราะยังคาใจกันอยู่ว่าอยู่ดีๆ ก็โผล่มาแล้วอยู่ดีๆ ก็หายไปคนอะไรจะไวปานนั้น ปูจึงพูดมาว่า " ชาวเขาปกติก็เดินเร็วกันอยู่แล้ว ก็ไม่น่าแปลกนะ " ก็จริงอย่างที่ปูพูดจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างนอน  นอนไปได้สักพักผมรู้สึกปวดท้องจึงเดินมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกตัวบ้าน ขณะที่เดินออกมามองไปที่ถนนหน้าบ้านผมก็เห็นผู้หญิงคนที่ช่วยพวกผมไว้เมื่อตอนค่ำเดินอยู่บนถนน เหมือนกำลังจะเดินออกไปนอกหมู่บ้าน ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นออกมาเดินดึกๆ ดื่นๆ ทั้งที่ชาวบ้านคนอื่นต่างปิดบ้านนอนกันแต่หัวค่ำ ผมจึงลองเดินตามไปกะว่าจะเข้าไปของคุณที่มาช่วยผมและเพื่อนไว้เมื่อตอนเย็น แต่เธอเดินไวมากจนผมเดินตามไม่ทัน พอพ้นปากทางเข้าหมู่บ้านเธอก็หายไปตอนไหนไม่รู้ผมยืนงงอยู่พักนึง จึงเดินกลับมาเข้าห้องน้ำที่โฮมสเตย์แล้วนอนหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็เล่าเรื่องที่ผมเจอผู้หญิงคนเมื่อคืนให้ ปูกับกร ฟัง แต่เพื่อนผมไม่เชื่อหาว่าผมคิดมาแล้วละเมอไปเอง ช่วงสายวันนั้นพวกเรามีแพลนออกไปเที่ยวอุทายนป่าไม้นอกหมู่บ้านเห็นชาวบ้านบอกว่ามีน้ำตกด้วย อุทยานก็อยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้านไม่มากนักสามารถเดินไปได้สบาย พวกเราเดินออกมาที่ปากทางหมู่บ้านก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ศาลไม้เก่าที่โคนต้นไม้เหมือนเคย

Advertisement

Advertisement


          ผมและเพื่อนๆ เที่ยวเล่นอยู่ในอุทยานกันจนเย็นจึงเดินกลับมาที่หมู่บ้าน ระหว่างทางก็เห็นเป็นผู้หญิงคนเดินที่พวกเราเคยเจอเดินนำหน้าพวกเราไปไกล พวกเราจึงรีบเดินตามเพื่อหวังวาจะได้เข้าไปพูดคุยและขอบคุณที่มาช่วยพวกเราเมื่อ แต่เธอก็ยังเดินเร็วเหมือนเดิมขนาดพวกผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งยังตามไม่ทัน พอพ้นเนินไปเธอก็หายไปแล้วก่อนถึงทางเข้าหมู่บ้าน ทำเอาพวกเราผิดหวังอีกตามเคย ที่ไม่ทันได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาคนนั้นเธอคือใคร  พวกเราเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านและไม่ลืมที่ยกมือไหว้ศาลหน้าหมู่บ้านเหมือนเดิมแล้วเดินกลับที่พัก เรานั่งคุยกันสักพักแล้วแยกย้ายกันนอน ผมตื่นมากลางดึกเมื่อลุกมาเข้าห้องน้ำ มองไปที่เตียงของปูไม่เห็นปูนอนอยู่จึงคิดว่าปูไปเข้าห้องน้ำจึงเดินตามไปแต่ในห้องน้ำไม่มีใครอยู่ จึงเดินออกมาหาข้างนอก ผมเดินมาจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็เห็นปูยืนนึ่งอยู่ตรงหน้าศาลไม้ ผมรีบวิ่งมาที่ปู ถามว่าเป็นอะไร ปูบอกว่า " มึงอย่าเพิ่งถามพากูกลับที่พักก่อน " ผมจึงรีบประครองปูกลับเข้าบ้านพักซึ่งมีกรนั่งรออยู่หน้าบ้าน เมื่อเข้ามาในห้องผมกับกรก็รีบถาม ปูทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ปูก็เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นเดินอยู่บนถนนจึงเดินตามไปแต่เธอเดินเร็วมาปูจึงตัดสินใจวิ่งตามจนเกือบทัน แล้วเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเดินหายเข้าไปในศาลไม้หน้าหมู่บ้าน ทำให้ปูยืนตัวแข็งอยู่หน้าศาลจนผมเดินไปเจอ "งั้นก็แสดงว่าที่พวกเราเห็นกันคือผีน่ะสิ " กร พูดขึ้น  ผมจึงบอกกับเพื่อนว่า " แต่เค้าคงมาดีคงไม่ได้มาทำไรเราหรอก เพราะเค้ามาช่วยเราไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราลองหาอะไรไปไหว้ที่ศาลกันดีกว่า " พอรุ่งเช้าพวกผมก็ถืออาหารไปถวายที่ศาลไม้นั้น ระหว่างเดินไปที่ศาลเจอชาวบ้านจึงได้สอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับศาลไม้แห่งนั้น ชาวบ้านจึงเล่าว่าน่าจะเป็นวิญญาณผีป่าผีเขาเพราะเมื่อก่อนชาวบ้านก็เห็นผู้หญิงคนนี้เป็นประจำ ชาวบ้านจึงช่วยกันทำศาลให้ไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านให้ช่วยปกปักคุ้มครองคนในหมู่บ้านและชาวบ้านก็ให้ความเคารพนับถือศาลแห่งนี้มา ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็จะยกมือไหว้เป็นประจำ พอได้ฟังดังนั้นพวกผมก็หายกลัวผู้หญิงคนนั้นเพราะพวกเราก็ไม่ได้ลบหลู่อะไร หลังจากที่ถวายอาหารเครื่องเส้นเสร็จแล้ว พวกเราก็เก็บเข้าของเพื่อเดินทางกลับบ้าน ตอนขากลับเดินผ่านศาลก็ไม่ยืมที่จะยกมือไหว้เพื่อขอพรให้พวกผมเดินทางปลอดภัย.........................

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์