อื่นๆ
2 ค่ายใหญ่...ในชีวิต

ในชีวิตของเราแต่ละคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป บางเหตุการณ์ก็รู้สึกดี ประทับใจ อยู่ในความทรงจำของชีวิตไปตลอด บางเหตุการณ์ก็ไม่อยากจะไปนึกถึงอีก กลายเป็นฝันร้ายในชีวิตไปก็มี
สำหรับผู้เขียนแล้ว มี 2 เหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่อาจจะลืมได้ เพราะเป็นเหมือนการเข้าค่ายชีวิตที่เปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เคยผ่านมาได้ คือ ค่ายพระกับค่ายพราง
ค่ายชีวิตแรก คือ ค่ายธรรมะที่ไม่ใช่แค่ไปร่วมกิจกรรมแล้วมีพระวิทยาการมาอบรมเหมือนที่เราคุ้นเคย แต่เป็นค่ายชีวิตที่ได้เข้าไปสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเอง คือ การใช้ชีวิตแบบนักบวช หรือพระภิกษุที่เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่วันสองวัน
การบวชพระมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน มีการท่องคำบวช ได้รับฉายาหรือชื่อทางพระ และเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายจากชุดฆราวาสเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ ที่แสนจะเรียบง่าย มีสบง(แทนกางเกง) อังสะ(แทนเสื้อ) ประคตเอว(แทนเข็มขัด) จีวร(แทนเสื้อคลุม) และผ้าสังฆาฏิ(ผ้าพาดบ่า) มีเพียงเท่านี้ก็สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ทุกงาน
Advertisement
Advertisement
ถ้าจะมีเสริมก็มีย่าม บาตร และของใช้ที่เหมาะสมกับการเป็นพระ เป็นการละ เป็นการเสียสละทรัพย์สมบัติอย่างแท้จริง แม้แต่เส้นผมก็ต้องโกนออกไป เพื่อลดความเป็นตัวตนลง
ชีวิตที่ต้องอาศัยผู้อื่น เคยมีพระรุ่นพี่ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า "มีก็ฉัน ไม่มีก็เฉย" เป็นการใช้ชีวิตแบบพระ ต้องระมัดระวังกาย วาจา และใจให้ได้มากที่สุด ศีล 227 ข้อ ดูเหมือนมาก แต่ก็เชื่อมโยงต่อกันได้ทั้งหมด หากทำได้เราก็เป็นผู้ที่น่าเคารพและควบคุมตนเองได้อย่างแท้จริง
ช่วงหนึ่งของการได้บวชและศึกษาพระธรรมทำให้ได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตแบบพระไม่ง่ายเลยจริง ๆ แต่ผู้ที่พร้อมจะละเพื่อพ้นทุกข์จริง ๆ ก็ไม่ยากจนเกินไปเพราะมีตัวอย่างดีๆ มีให้เห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน จึงยากที่ลืมเลือนวิถีการปฏิบัติของพระที่ไม่ง่ายเลย แต่ถ้าทำได้ ก็มีความสุขได้ทุกครั้งเช่นกัน
Advertisement
Advertisement
อีกประสบการณ์ที่เป็นค่ายชีวิต คือ ค่ายทหาร แต่ไม่ใช่การให้ทหารมาฝึกระเบียบวินัยในเวลาสั้น ๆ หากเป็นการเป็นทหารจริง ๆ ในนามทหารเกณฑ์ เพียงระยะเวลาไม่นาน ก็ได้เรียนรู้อีกเส้นทางชีวิตหนึ่งของลูกผู้ชายที่ต้องใช้ความอดทนเหมือนที่เราท่องพยัญชนะไทยว่า ท.ทหารอดทน ที่ต้องอดทนจริงทั้งในเวลาฝึกและเวลาที่มีเหตุการณ์ที่ต้องสู้รบกันจริง ๆ แต่ประสบการณ์ทหารเกณฑ์ก็ต้องเริ่มที่ระเบียบวินัย ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้ได้ก่อน ทุกสถานการณ์การฝึก
นอกจากต้องฝึกความอดทนทางกายแล้ว ทางใจก็ต้องอดทนไม่แพ้กัน เราต้องใช้ชีวิตที่ต่างจากเวลาเราอยู่บ้านหรือที่เรียกแยกว่า "พลเรือน" กับ "พลทหาร" ที่มีรูปแบบการแต่งกายที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ผมก็ต้องตัดทรงเหมือนกัน ชุดการแต่งกาย คำพูด บุคลิก ท่าทาง การปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชามีแบบแผนที่เหมือนกัน ผู้ชายไทยคนไหนที่ผ่านประสบการณ์นี้มาก็จะสื่อถึงกันได้ เพราะประสบการณ์ที่พบเจอก็จะคล้ายๆ กัน
Advertisement
Advertisement
ถือเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ใช่ว่าทุกคนจะได้สัมผัส บางคนอยากจะเป็น แต่คุณสมบัติไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน เวลาอยู่ในค่ายก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบไป พอลากลับบ้านก็ทำตัวอิสระได้ แต่ก็ไม่ควรลืมสถานะตนเองเช่นกัน
จากประสบการณ์ค่ายชีวิตทั้งสองเส้นทาง ก็ทำให้เข้าใจชีวิตหลายด้านมากขึ้น อะไรที่สุดโต่งก็ไม่ควรทำ ให้ใช้ทางสายกลางเป็นหลักไว้ เพราะดีกับทุกอย่างของชีวิต ส่วนไหนควรใช้ประสบการณ์ทางไหนมาใช้ก็สามารถดึงมาใช้ได้ ก็ทำให้ชีวิตมีความสมดุลได้มากยิ่งขึ้น แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่อยากจะทำก็ได้ เพราะชีวิตเราก็ไม่มากพอที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง เอาแค่ที่จำเป็นๆ ก็พอ เพราะเราก็ต้องมีเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเราทุกคนอยู่แล้วนั่นเอง
หากจะตอบว่าได้วิชาอะไรจากทั้ง 2 ค่ายในชีวิต ก็ตอบว่า
ค่ายพระ = ความเรียบง่าย
ค่ายทหาร = ความรวดเร็ว
เครดิต
ภาพปก โดยผู้เขียน
ภาพประกอบที่ 1-5 โดยผู้เขียน
เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ความคิดเห็น
