ปีนี้ต้องขอจารึกไว้ว่าเป็นช่วงที่เงียบเหงาที่สุดในชีวิต ก่อนเคยมีพี่ ๆ น้อง ๆ พบหน้าแต่มีเหตุอันไม่ได้กลับมาพบกันด้วยสถานการณ์ที่เราคงไม่ต้องอธิบาย แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับ โดยเฉพาะในทุก ๆ ปี ผมจะได้มีโอกาสรวมญาติกันที่วัด เพื่อไปชักบังสุกุลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ ทั้งตายายปู่และอา แต่วันนี้มีเพียงผมและอาอีกคนที่นัดกันไว้ เมื่อพร้อมหน้ากันอาให้ผมไปนิมนต์พระ และเตรียมปัจจัยเพื่อเปลี่ยนผ้าชักบังสุกุล ผมใส่ซองไป ๑oo บาท เดินไปที่กุฎิ นิมนต์หลวงตามาประกอบพิธีจนเสร็จสรรพ หลังจากคุยกันสักครู่ ก็ต้องแยกย้ายเพราะอาต้องรีบไปทำธุระ แต่ผมยังไม่อยากไปไหนจึงเดินเล่นรอบ ๆ วัดเพื่อดูต้นไม้ไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่โบสถ์เก่าวัดห้วยสะพานอายุราว ๒oo กว่าปี ทางเข้าเป็นซุ้มประตู ตัวผมเหมือนต้องมนต์ให้เดินลอด เท้าค่อย ๆ ก้าว อย่างกับถูกพาย้อนเวลา ภาพที่เห็น คือ ความสวยงามของโบสถ์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มรดกจากช่างฝีมืองามแปลกตา รอบโบสถ์นั้นประกอบไปด้วยซุ้มเสมาธรรมจักร ตรงหน้าต่างเป็นทรงโค้งงดงามอ่อนช้อย หันไปมองที่กำแพงแก้วเป็นทรงเจดีย์โบราณอยู่รายรอบ พอแหงนขึ้นไปด้านหน้าจะพบหน้าบันเป็นลวดลายปูนปั้น รูปองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาและนาค ที่สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง ด้วยแรงศรัทธาของครูช่างโบราณ ผมไม่รอช้าเดินเข้าไปที่ตัวอุโบสถด้วยความอยากรู้ ถ้าวันนี้โชคดีคงได้ยลความงามข้างใน และนับว่าโชคยังเข้าข้างวันนี้ทางวัดเปิดให้สักการะพระประธานด้านใน แต่ก่อนอื่นผมยืนมองดูซุ้มประตูด้วยความพินิจประสาคนเรียนศิลป์ แลเห็นทรงชฎาล้อมก็พาลอยากรู้จักบรมครูช่างท่านนี้ยิ่งนัก นี่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้จะขอเป็นศิษย์เสียเลย เมื่อเข้าไปด้านในนั้นจะพบกับพระพุทธรูป ๕ องค์ โดยมีพระประธานนามว่า “พระพุทธโคดม” ประดิษฐานอยู่เหนือฐานชุกชีจำหลักลายสวยสดงดงาม ตามประวัติของวัดที่พอสืบค้นได้ วัดห้วยสะพานนี้สร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๒๙ หลังสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไม่นาน เดิมชื่อวัด “ช่องลมธาราม” กระทั่งปีพ.ศ. ๒๔๖๕ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดห้วยสะพานเช่นปัจจุบัน ภายในโบสถ์นั้นนอกจากพระพุทธรูปแล้ว ยังมีความแปลกอีกอย่างที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน เพราะเป็นโบสถ์แบบไม่มีประตูด้านหลัง อันเป็นเอกลักษณ์ของวัดที่นิยมสร้างกันตั้งแต่อยุธยา แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่ง คือ บริเวณตัวโบสถ์หลาย ๆ แห่งทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ต้นไม้ขึ้นรกเพราะขาดการดูแลที่ดีพอ ผมสงบจิตสงบใจกราบองค์พระสักครู่หนึ่ง ได้เวลากลับสู่โลกปัจจุบันเสียที แต่อย่างน้อยก็ทำให้วันหยุดที่แสนธรรมดาและเงียบเหงามีเรื่องราวให้จำ สำหรับใครที่เบื่อช่วงกักตัวแบบนี้ แนะนำว่าลองเดินเที่ยวหรือสำรวจหมู่บ้านตัวเองดูบ้าง ไม่แน่อาจจะเจอโบราณสถานเก่าแก่ที่หลงลืมไปก็ได้ ปล.นี่คือภาพโบสถ์แบบชัดเจนที่ผู้เขียนถ่ายไว้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน สมัยเรียนถ่ายรูป วัดห้วยสะพานตั้งอยู่ที่ เลขที่ 200 หมู่ 2 ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ติดถนน กาญจนบุรี-อู่ทอง สำหรับผู้สนใจ ปักหมุดไว้ตรงนี้ครับ ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน