หยุดยาวนี้ด้วยการรบเร้าของเพื่อนที่อยากสัมผัสอากาศปลายฝนต้นหนาว เราจึงแพลนที่ไม่ได้แพลนกันว่าจะไปเที่ยว “ปิล็อก” ตำบลชื่อแปลก แห่งอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี จากกรุงเทพมหานครเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวมาที่อำเภอทองผาภูมิใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งกว่าเราจะมาถึงอำเภอทองผาภูมิก็เกือบหกโมงเย็น ด้วยสาเหตุสองประการคือหนึ่งตื่นสายและสองฝนตก แต่เราก็ยังไม่ลดละความพยายามในการเดินทางในครั้งนี้ ด้วยความที่เราไม่ได้ศึกษาเส้นทางขึ้นมาก่อนเลยทำให้เราไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับเส้นทางแบบไหนกว่าจะถึง “ปิล็อก” เมื่อเริ่มแรกขึ้นเขาเส้นทางยังคงเป็นถนนลาดยางอย่างดี ถนนเป็นพื้นที่สองเลนรถสามารถสวนทางกันได้ แต่พอขึ้นเขามาได้สักระยะหนึ่ง ฝนตกลงมาอย่างหนัก ท้องฟ้าเริ่มมืด สองข้างทางไม่มีแสงสว่าง เนื่องจากเราได้เข้าสู่เขตของอุทยานทองผาภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่น่ากลัวกว่านั้นเส้นทางมีการซ่อมแซมถนนถูกบีบให้ใช้แค่เลนเดียว ในบางช่วงแถบจะมองไม่เห็นทางด้านหน้าเลย (ถึงแม้ว่าจะเปิดไฟตัดหมอกและไฟใด ๆ ที่สามารถเปิดได้แล้วก็ตาม) เนื่องจากหมอกมีความหนามาก ไม่มีบ้านเรือนหรือใครให้สอบถามได้เลย ยิ่งกว่านั้นระหว่างทางขึ้นเขา “ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต!!!” ทำให้ไม่รู้เลยว่าเราจะต้องขับรถไปอีกไกลแค่ไหน ทางที่เหลืออยู่เลนเดียวก็หักโค้งไปมา จนเราเริ่มไม่มั่นใจว่าพวกเรามาถูกทางกันจริง ๆ ไหม ตลอดทางที่ขึ้นเขามาเจอรถสวนทางน้อยมาก และไม่มีใครตามรถของเรามาเลย ในใจก็ภาวนาให้ถึงเร็ว ๆ จนกระทั่ง….เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าของที่พักโทรมาถามเราว่าเราขึ้นเขากันมายังไง เขาสงสัยว่าเรายังจะมาพักอยู่ไหม ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ซึ่งคำตอบของเราก็คือ “ไม่รู้ T_T” ซึ่งเจ้าของที่พักก็ได้สร้างความมั่นใจให้กับเราว่าพวกเราใกล้ถึงแล้ว และเมื่อถึงแล้วก็ให้โทรหาเขาอีกครั้ง เราได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาอย่างน้อยข้างบนนั้นก็มีอะไรรอเราอยู่ หลังจากที่สวดภาวนาให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึง “ปิล็อก” “ปิล็อก” ภาพแรกที่เห็นเหมือนภาพเมืองลับแลในจินตนาการที่เคยอ่านในหนังสือเรียนสมัยเด็ก ภายในหุบเขาสูงใหญ่ที่มืดมิดสุดลูกหูลูกตา แล้วหลุดออกมาเจอกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีไฟสว่างไสว เหมือนได้หลุดมาอีกโลกหนึ่งเลย เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ สวยงาม อากาศสดชื่น เย็นสบาย อย่างที่ต้องไปสัมผัสเองถึงจะรู้ หลังจากที่เราตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าสักพัก เจ้าของที่พักก็ออกมารับพวกเรา เมื่อเราเข้ามายังที่พักเรียบร้อยแล้วสิ่งที่สร้างความแปลกใจอย่างต่อไปคือ “ที่พักที่นี้ไม่มีแอร์!!!” โดยเราได้รับข้อมูลมาว่าเนื่องจากหมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไฟฟ้าที่มีมาจากเครื่องปั่นไฟ ดังนั้นการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟจึงมีการขอความร่วมมือ เพื่อให้ทุกคนมีไฟฟ้าใช้ แต่การไม่มีแอร์ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เพราะอากาศภายในหมู่บ้านอากาศเย็นตลอดปี ด้วยความเหนื่อยล้าในการเดินทางเราจึงรีบอาบน้ำนอน เพื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูหมอกยามเช้ากัน แต่ว่าเรื่องประหลาดใจยังมีให้เห็นอยู่เสมอเมื่อตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกแล้วพบว่า “ไฟฟ้าดับ!!!” (วันต่อมาถามชาวบ้านเขาบอกว่าเป็นเรื่องปกติ-_-!) เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ “เนินช้างศึก” โดยบริเวณหน้าหมู่บ้านจะมีรถสองแถวให้บริการ (ไม่แนะนำให้เอารถขึ้นไปเอง) เมื่อรอจนสมาชิกเต็มคันรถแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง เราใช้ระยะเวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาทีก็มาถึงยัง “เนินช้างศึก” บริเวณด้านบนอากาศเย็นสบาย นอกจากสามารถมองเห็นทะเลหมอกแล้ว ยังมองเห็นบริเวณหมู่บ้าน “อีต่อง” ที่เราพักกันเมื่อคืนได้อย่างเด่นชัด ทะเลหมอกในวันที่เราไปยังไม่หนาแน่นมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด บรรยากาศธรรมชาติยามเช้ายังคงสดชื่นเสมอ หลังจากที่เราถ่ายภาพทะเลหมอกเป็นที่อิ่มหนำสำราญใจแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พัก เก็บของเพื่อเดินทางกลับกัน หากวันหยุดหน้าใครยังไม่มีแพลนไปเที่ยวที่ไหนลองมาสัมผัสชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติที่ “ปิล็อก” แล้วทุกคนจะหลงรักที่นี้เหมือนที่พวกเรารู้สึกคะ **เป็นภาพถ่ายเองจากสถานที่จริง** อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !