หากจะกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก หลาย ๆ คนก็คงต้องนึกถึงจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแน่ เพราะแค่ขับรถเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถเดินทางไปสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้ ๆ เมืองหลวงได้แล้ว แต่หากจะเดินทางไปไกลกว่านั้นสักหน่อย ก็คงจะไปถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แถวเขตชายแดน ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขามากมายจนสุดลูกหูลูกตา ใช่แล้วล่ะค่ะ เรากำลังพูดถึง หมู่บ้านอิต่อง ที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปีก่อน เราเดินทางไปปิล๊อกด้วยรถตู้ เพราะไม่มีรถขับไปเอง รถตู้ออกจากกรุงเทพเที่ยวแรกประมาณตีห้า ใช้เวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงขนส่งกาญจนบุรี เสียดายที่ลืมถ่ายรูปไว้เพราะต้องรีบต่อรถจากขนส่ง ไปขนส่งอำเภอทองผาภูมิอีกต่อนึง เรามาถึงทองผาภูมิประมาณ 9 โมงเช้านิด ๆ เดินตลาดหาอาหารเช้ากินกันนิดหน่อย เพราะต้องรอต่อรถสองแถวเข้าไปหมู่บ้านอีต่องอีกหลายกิโล ถ้าจำไม่ผิดรถเที่ยวสุดท้ายน่าจะออกซักเที่ยง แต่ถ้าใครจะไปคงต้องเช็กเที่ยวรถอีกที เพราะบางครั้ง รถสองแถวเข้าบ้านอีต่องก็อาจจะหมดเร็ว ตอนแรกตั้งใจนั่งท้ายรถสองแถวเพราะอยากดูวิวสองข้างทาง แต่ดันลืมไปว่าทางขึ้นไปหมู่บ้านอีต่องนั้นมีหลายโค้งมาก รถพามาถึงครึ่งทางก็ต้องยอมแพ้ ขอไปนั่งหน้ารถกับคนขับ เพราะเมาโค้งจนทนไม่ไหว ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงจากทองผาภูมิจนถึง หมู่บ้านอีต่อง แม้จะเหนื่อยกับการเดินทางซักหน่อย แต่พอถึงแล้วกลับรู้สึกคุ้มเหลือเกินที่ได้มาถึงที่นี่ มาถึงที่พักโฮมสเตย์ชื่อ บ้านทานตะวัน ก็เลยช่วงบ่ายของวันมาแล้ว เข้าห้องพักเก็บของใช้ส่วนตัวเรียบร้อย ก็ใช้บริการรถสองแถวพาไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ที่อยู่ไม่ไกลหมู่บ้านมากนัก ลัดเลาะริมน้ำตกอยู่พักใหญ่ ๆ รถสองแถวที่พาเรามาจากทองผาภูมิ ก็พาเราไปดูเส้นเขตชายแดนระหว่างไทยกับพม่า ที่นี่จะมีพี่ทหารยามเฝ้าอยู่ แต่ก็ข้ามไปได้อย่างสบาย เราก็เลยถือโอกาสนั้น เดินเข้าไปเหยียบแผ่นดินพม่ากันซักหน่อยแบบไม่ต้องขอวีซ่า หลังจากนั้นเราก็บึ่งขึ้นไปที่ เนินช้างศึก เพื่อบอกลาพระอาทิตย์สีส้มสวยในตอนเย็น ที่นี่มีคนมาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน คงเพราะเป็นช่วงหน้าหนาวด้วยแหละมั้ง แต่ก็ยังมีจุดให้ชมวิวหมู่บ้านกันหลายจุดอยู่เหมือนกัน แต่หันไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาสุดลูกหูลูกตา สีเขียวกับสายลมเย็น ๆ ราวกับกำลังถูกธรรมชาติโอบกอดอยู่เลย เช้าวันใหม่ ก็ต้องตื่นเช้ามาท้าลมหนาวกันสักหน่อย เพราะอยากจะขึ้นไปสวัสดีพระอาทิตย์ยามเช้ากับทักทายทะเลหมอกที่เนินช้างศึกกันอีกหน แต่ก็ต้องพลาดไปเพราะเมฆเยอะเหลือเกิน ทะเลหมอกก็ไม่เห็น พระอาทิตย์ก็ไม่เจอ เจอกันอีกทีพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นสูงแล้ว ก็เลยต้องลงมาเดินลัดเลาะรอบหมู่บ้านกันแทน ระหว่างวันเราก็ใช้บริการรถของเจ้าของห้องพักพาเราทัวร์ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ไปดูเขาช้างเผือกกันใกล้ ๆ ใครอยากเดินเขาช้างเผือก ก็ต้องรอทางอุทยานเปิดให้จองกันก่อนนะคะ ไม่ใช่ไปถึงแล้วขอเดินขึ้นเลยไม่ได้นะ เส้นทางขึ้นเขาช้างเผือก ก็อยู่ท้ายหมู่บ้านอีต่องด้วยนะคะ พอกลับจากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิแล้ว พี่เจ้าของบ้านพักก็พาเราลัดเลาะน้ำตกที่คนไม่ค่อยจะไป ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ น้ำตกธารโศก ตกเย็นก็ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกอีกรอบ แต่ก็ดูเหมือนเมฆจะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ เห็นแต่แสงสีชมพูสาดสะท้อนอยู่ทั่วขอบฟ้า ก็พอใจละ แม้จะพลาดชมพระอาทิตย์ทั้งขึ้นและตก ผิดหวังกับทะเลหมอกที่มองไม่เห็น แต่อากาศที่เย็นสบายของที่นี่ ความสวยงามของทิวเขาเย็นสบายสุดลูกหูลูกตาก็เรียกร้องให้อยากเดินทางไปหาอีกสักครั้ง ถ้ามีโอกาสก็คงจะกลับไปที่อีต่องอีกแน่นอน เพื่อไปล่าทะเลหมอกที่ยังไม่ได้เห็นเต็มตา ว่ากันว่าถ้าไปหน้าฝนก็คงจะได้เจอ เพื่อน ๆ ล่ะคะ เคยไปเที่ยวหมู่บ้านอีต่องกันรึยัง ถ้ายัง ต้องลองเดินทางไปสักครั้งนะคะ แล้วจะรู้ว่า อ้อมกอดของขุนเขาเป็นยังไง สำหรับใครที่สนใจอยากไปเที่ยวหมู่บ้านอีต่อง อยากไปชมทะเลหมอกบนเนินช้างศึก ลองวางแพลนกันให้ดีว่าจะไปช่วงไหน แนะนำว่า อยากดูดาวให้ไปหน้าร้อน อยากดูหมอกให้ไปหน้าฝน อยากรับลมหนาวก็ต้องไปหน้าหนาว รับรองไม่ผิดหวัง แต่ถ้า อยากพัก โฮมสเตย์บ้านทานตะวัน ติดต่อ เจ้าของบ้าน เบอร์ 0807815739 หรือจะลองหาโฮมสเตย์หลังอื่น ๆ ก็มีอยู่หลายหลังเช่นกัน แต่ต้องจองล่วงหน้านะคะ เพราะที่นี่ไม่ได้มีบ้านพักมากมายนัก อาจจะเต็มตลอดปีเลยด้วยซ้ำ นั่นก็คงเป็นเพราะว่า ที่บ้านอีต่องแห่งนี้ สามารถเที่ยวได้ตลอดปีนั่นเอง และอากาศก็ยังเย็นสบายตลอดปีด้วยเหมือนกัน ก็เลยทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปอยู่ตลอด แต่สำหรับใครที่ชอบกางเต็นท์นอน ที่นี่ก็มีลานสำหรับกางเต็นท์ให้ด้วยนะคะ วางแพลนเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันได้เลย