หลังลาออกจากงานเมื่อปลายปีก่อน เรากับเพื่อนตัดสินใจไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน โดยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวภูเขา อากาศหนาวๆดูดาวสวยๆ เราไปสะดุดกับภาพเขาช้างเผือกในเว็บไซต์ท่องเที่ยว สันเขาสูงเสียดฟ้า จนคนที่เดินเรียงแถวบนเขาตัวเล็กจิ๋ว เราไม่เชื่อว่าประเทศไทยมีสถานที่ที่มหัศจรรย์อย่างนั้น จึงต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง จากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทางอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 1 ครั้งต่อปีเท่านั้น โดยต้องโทรไปจองล่วงหน้า 1 อาทิตย์ เราก็ยังคิดว่ามันทำไมนัก กระทั่งเราโทรไปจองแต่เช้าเกือบสิบสายแล้วยังไม่มีใครรับ เมสเซสบอกเพื่อนว่าโทรไม่ติด อีกสองสามชั่วโมงต่อมา มันโทรกลับว่าจองคิวได้แล้ว โดยที่โทรไปเกือบร้อยสาย ในที่สุดเราก็ออกเดินทางไปกาญจบุรีในวันที่ 15 ธันวาคม 2562 มีแพลนที่จะขึ้นเขาช้างเผือกตอนเช้าวันที่ 16 ค้าง 1 คืน กลับมานอนที่ปิล็อกวันที่ 17 เรากับเพื่อนไม่เคยเดินป่าแบบจริงจังเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่เสื้อผ้ากับถุงนอนคนละอัน แต่คิดว่าทุกอย่างไปหาเอาดาบหน้าที่อุทยานและหมู่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นเต๊นท์ ถุงมือ หมวก อาหาร น้ำดื่ม อันที่จริง เรากางเต๊นท์กันไม่เป็นด้วยซ้ำ... เรามาทำอะไรที่นี่ คือสิ่งที่เรากับเพื่อนเฝ้าถามกันและกันตลอดเวลา วันต่อมา หลังจากจ้างลูกหาบแบกสัมภาระส่วนใหญ่เรียบร้อย มีแค่กล้องถ่ายรูป น้ำดื่ม และอาหารกลางวันติดตัว เรากับเพื่อนก็ออกเดินทางตามเจ้าหน้าที่อุทยานทันที พอเห็นป้ายนี้ เจ้าหน้าที่ก็ให้เราพักถ่ายรูป แล้วบอกว่าเดี๋ยวเดินขึ้นเขาไปอีก 8 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว 8 กิโลเมตรหรือ 8 กิโลแม้วเถอะ เราเจอนักท่องเที่ยวหลายคนเพิ่งลงจากเขา แวะทักทายกลุ่มใหม่ที่จะขึ้นไป คนหนึ่งมอบไม้ค้ำยันให้เรา และบอกเรากับเพื่อนว่าอีกไม่ไกล พร้อมรอยยิ้มเหนื่อยอ่อนและสีหน้าสุดล้า อีกครั้งที่เราถามตัวเองว่า เรามาพักผ่อนหรือทรมานสังขารกันนะ คำตอบนั้นเรารู้อยู่แก่ใจ เมื่อต้องเดินขึ้นเขาท่ามกลางแดดร้อนจ้า หาที่หลบไม่ได้ด้วยเนื่องจากสีเขียวๆบนเขาคือสีหญ้าและดงข้าวโพด จะเดินไปหรือเดินกลับก็มีค่าเท่ากัน หรือจะหยุดเดินกลางเขาก็ไม่ได้ช่วยให้เหนื่อยน้อยลง เว้นแต่จะเดินตกเขาไปเลย เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งชมว่าเราเก่ง เพิ่งเดินเขาครั้งแรกก็ประเดิมเขาช้างเผือกเลย เราได้แต่ยิ้มแห้ง เพราะเราไม่รู้ว่ามันยากง่ายต่างกันยังไง ถ้าเรารู้ เราอาจจะไม่มานั่งหอบอยู่ข้างเค้าก็ได้ เรากับเพื่อนถึงจุดกางเต๊นท์เป็นคนท้ายๆ มีเวลาให้พักสองสามชั่วโมง ก่อนเจ้าหน้าที่จะเรียกให้ไปขึ้นสันคมมีด แม้เราจะง่วงนิดๆจากฤทธิ์ยาพารา แต่เราก็ยังแบกกล้องขึ้นเขาอยู่ดี เพราะเราคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ถ้าไม่ไปให้สุดมันคงจะค้างคาใจน่าดู ทางขึ้นสันคมมีดยิ่งชันใหญ่ ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยประกบตอนปีนผ่านช่องเขา เราเดินไปถ่ายรูปไป แถมยังเดินผ่านสันคมมีดโดยไม่รู้ตัว เลยไม่ทันรู้สึกหวาดเสียวเหมือนในรีวิว แต่ก็ตะเกียกตะกายขึ้นไปถึงจุดสูงสุดจนได้ เราสัมผัสฟีลลิ่งผู้พิชิตได้ไม่ถึง 3 นาที เจ้าหน้าที่อุทยานประกาศให้เตรียมตัวลงเขา เพื่อนเราท่าทางจะไม่ไหว เหมือนพร้อมไหลตกเขาตลอดเวลา เราจึงรอไปเป็นคนสุดท้าย มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งคอยระวังหลังให้ ขณะที่เรากำลังยักแย่ยักยันกันอยู่นั้น เราก็ได้ภาพนี้มา มันเป็นภาพเขาช้างเผือกที่เราเห็นในรีวิวเกือบทุกเว็บไซต์ ภาพเดียวที่ดึงดูดเรามาที่นี่ ต่างกันตรงที่เป็นรูปที่เราถ่ายเอง.. เราคงไม่กล้าบอกว่าภาพนี้ทำให้ความเหนื่อยเราหายไปหมด คือเราก็ยังเหนื่อยอยู่ดี แต่เป็นความเหนื่อยที่คุ้มค่ามาก เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนเรายังถามตัวเองว่ามาลำบากอะไรที่นี่อยู่เลย เรารู้ตัวดีว่าเราไม่จำเป็นต้องขึ้นมาก็ได้ นอนพักอยู่ที่เต็นท์ก็ไม่มีใครลากคอเราขึ้นมาหรอก(ไม่ต้องเสี่ยงตกเขาด้วย) แต่พอได้มองความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยตาตัวเองจริงๆ เราก็รู้สึกว่า สิ่งที่ทำให้เราฟินที่สุด ไม่ใช่การเป็นผู้พิชิตยอดเขาช้างเผือกที่มีความสูงระดับน้ำทะเล 1,249 เมตร แต่เป็นการเอาชนะตัวเองต่างหาก หลายครั้งที่เราไม่กล้าก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยสารพัดเหตุผลปนข้ออ้าง ทำให้เราพลาดที่จะได้ยืนบนจุดสูงสุดและได้รับความรู้สึกแห่งการเป็นผู้ชนะ โดยที่ยังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำไป เราเคยคิดว่าเรารู้ขีดจำกัดของตัวเองดีที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็มักอดทนได้มากกว่าที่เราคิดว่าเราจะทนไหวเสมอ ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นที่รัฐฉาน เป็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดของเรา พระอาทิตย์ตกที่เขาช้างเผือก ก็เป็นพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดเช่นกัน และเราขอบคุณตัวเองที่พยายามมากพอ จนไม่ต้องทำได้แค่จินตนาการถึงช่วงเวลานั้นเวลาดูรูปเขาช้างเผือกอีกต่อไป. ภาพถ่ายโดยนักเขียนทั้งหมด