เขาช้างเผือก เขาที่ขึ้นชื่อว่ายาก แต่ไม่ใช่เดินยากนะ มันยากในการจองขึ้นเขานี่แหละ บางคนต้องโทรเป็นร้อยสายกว่าจะติด ติดแล้วใช่ว่าจะว่างพอ เป็นเขาที่ไม่ใช่อยากไปก็จะได้ไป บางครั้งก็ต้องแล้วแต่โชคชะตาว่า เราจะได้เจอกันรึเปล่า เขาช้างเผือกอยู่ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยปกติแล้วจะเปิดให้ขึ้นเขาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงปลายเดือนมกราคมของทุกปี ใครที่อยากไปเดิน ก็ต้องติดตามเวลาเปิดเส้นทางได้ที่เพจของอุทยานแห่งชาติ เราอยากไปเดินเขาช้างเผือกมาหลายปีแล้ว แต่ด้วยความที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความยากในการจอง ทำให้ยังไม่สามารถไปได้สักที รอบนี้จึงตัดสินใจว่า ไปเดินขึ้นเขาวันธรรมดาแล้วกัน โอกาสได้น่าจะง่ายกว่า สาเหตุที่จองยากนั้นก็เพราะว่าเค้าจำกัดคนในการขึ้นเขาแค่วันละ 60 คนเท่านั้น เนื่องจากพื้นที่สำหรับกางเต้นท์บนเขามีไม่มากนัก หลังจากที่พวกเราจองขึ้นเขาได้สำเร็จ ก็ตัดสินใจไปนอนค้างที่บ้านอีต่องก่อน 1 คืน เพื่อที่ว่าวันรุ่งขึ้นจะได้มีแรงเดิน จากหมู่บ้านอีต่องไปยังเขาช้างเผือก ระยะทาง 8 กิโลเมตร ก่อนเริ่มเดินทางเราต้องไปติดต่อลงทะเบียนขึ้นเขาที่จุดบริการท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิก่อน สามารถติดต่อได้ล่วงหน้าหนึ่งวัน จากนั้นก็ติดต่อลูกหาบ ในเช้าวันที่จะขึ้นเขา ใครไม่อยากแบกของก็สามารถจ้างลูกหาบได้ ราคาเหมาต่อคนคือ 1500 บาท/30 kg. ถ้าเกินก็จะคิดกิโลละ 50 บาท สำหรับกลุ่มเรา นน.รวม 47kg ต้องใช้ลูกหาบสองคน แต่ยังเหลือน้ำหนักอีกเยอะ แล้วพอดีมีพี่ที่มาสองคนมาพอดี เลยมารวมน้ำหนักกันซะเลย ก็ประหยัดไปได้อีก เจ้าหน้าที่จะจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 12 คน ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน ช่วงแรกๆทางเดินจะมีร่มไม้ ไม่ร้อนเท่าไหร่ เดินไปได้สักพักก็จะเจอกับป้ายขอต้อนรับสู่เส้นทางผู้พิชิตยอดเขาช้างเผือก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นไปยอดเขา อ่าว แล้วที่เดินผ่านมานี่คือยังไม่นับรวมใน 8 km. ใช่มั้ยเนี่ย -_-" ซึ่งจุดนี้เป็นจุดลงทะเบียนอีกจุดและจะรวมพลถ่ายรูปหมู่กันก่อน เขาที่อยู่ด้านหลังป้ายนี้ก็คือเขาช้างเผือกที่เรากำลังจะไปนั่นแหละ ช่วงแรกๆของการเดินมีต้นไม้สูงบ้าง ต้นหญ้าสูงๆบ้าง แนะนำให้ใส่เสื้อแขนยาวหรือปลอกแขน เผื่อโดนบาดจากต้นหญ้า สำหรับทางเดินช่วงแรกๆไม่ยากเท่าไหร่ บ่อยครั้งที่พักเหนื่อยด้วยการหยุดถ่ายรูปนี่แหละ คือวิวมันสวยงาม ด้วยภูเขาที่สลับกันไปมา ก็ทำให้มีแรงเดินต่อไปได้ ภูเขาเขียวๆสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ มันช่างเติมพลังให้กับเราเสียจริง อย่างที่ใครเคยบอกไว้ว่า ถ้าเหนื่อยล้าให้เดินเข้าป่า ว่าแต่จะเหนื่อยกว่าเดิมมั้ยน๊า 555 เส้นทางเดินบางช่วงก็เดินเลียบเหวแบบนี้ แต่ไม่ได้น่ากลัวนะ ทางเดินกว้างอยู่ แต่ก็ให้ความรู้สึกเสียวนิดๆ บางจุดก็ต้องเดินขึ้นเขาสูงชันแบบนี้ เห็นแล้วขอหยุดพักทำใจก่อน ตัวช่วยสำหรับการเดินเขาสูงชันก็ไม้เท้า มันช่วยได้เยอะเลย แล้วป้องกันเข่าเราด้วยนะ กรณีที่ลงเขา ช่วยไม่ให้เข่าได้รับแรงกระแทกมากไป เวลาที่เหนื่อยๆ ก็มองวิวของทิวเขาไป หยุดพักจิบน้ำ แล้วก็เดินต่อ เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก เพราะมีเวลาเหลือเฟือ ช่วงหลังๆเราจะไม่มีต้นไม้เป็นร่มเงาแล้ว และแดดก็แรง ยังดีที่มีลมเย็นๆพัดมา ดังนั้นถ้ามาเดิน อย่าลืมพกหมวกมาด้วยนะ ไม่งั้นกลับบ้านหน้าดำแน่ๆ บางช่วงก็จะเป็นทางเดินเลียบหน้าผาแบบนี้ ก็จะหวาดเสียวนิดๆ ไม่น่ากลัวมาก แต่ถ้าคนกลัวความสูงก็อาจจะมีหวั่นๆบ้าง จะมีช่วงหนึ่งระหว่างทางเดิน จะเป็นจุดชมวิว 360 องศาเลย ตรงนั้นเหมือนเป็นยอดเขา และมีต้นหญ้าเต็มไปหมด เราชอบจุดนี้มาก เพราะสามารถเห็นวิวได้รอบ บวกกับต้นหญ้าที่พลิ้วไหวไปมาดูนุ่มนวลดี อยากหยุดอยู่ตรงนี้นานๆจัง ธรรมชาติสร้างสิ่งสวยงามเสมอ และเราก็ต้องดูแลธรรมชาติให้อยู่กับเราไปนานๆด้วยนะ ไม่นานก็เห็นจุดกางเต๊นท์อยู่ลิบๆนั่นแล้ว มีแรงฮึดขึ้นมาเลย ฮ่าๆ ทางลงไปค่อนข้างชันพอควร ทางอุทยานได้ทำเชือกให้เราจับ เพื่อความปลอดภัย จะเห็นว่าที่กางเต๊นท์มีนิดเดียว จึงจำเป็นต้องกำหนดนักท่องเที่ยวเพียง 60 คนต่อวัน ส่วนห้องเล็กๆสองห้องที่เราเห็นก่อนถึงเต๊นท์ เป็นห้องน้ำ หน้าตาห้องน้ำ แต่ไม่ได้ถ่ายข้างในมานะ รู้ว่ามันเป็นส้วมซึม ทีไม่มีน้ำราด เพราะน้ำที่ใช้เราต้องขนขึ้นมาเองหรือจ้างลูกหาบคน เรื่องกลิ่นคงไม่ต้องพูดถึง 555 เราไม่ได้ลองใช้ อาศัยในพงหญ้าแทน ^^ เราใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมง รวมแวะพักกินข้าวด้วย ซึ่งถ้าใครแรงดี ก็ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมง พอเรามาถึง ลูกหาบก็กางเต๊นท์ให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้เวลาช่วงนี้พักร่างกายไปก่อน เจ้าหน้าที่จะเรียกรวมพลสำหรับคนที่จะขึ้นไปยอดเขาช้างเผือกตอนบ่ายสาม ซึ่งจุดนี้ไม่ได้บังคับนะ ใครจะอยู่เฝ้าเต๊นท์ก็ได้ ก่อนเริ่มเดิน เจ้าหน้าที่จะเรียกมารวมตัวแล้วอธิบายถึงกฎระเบียบในการขึ้นยอดเขา คือ1. ต้องลงมาก่อน 17:30 ที่นี่ไม่อนุญาตให้อยู่จนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะเส้นทางอันตรายถ้าฟ้ามืด2. เสื้อผ้าต้องรัดกุม ไม่รุ่มร่าม เพราะกลัวไปเกี่ยวกับหินแล้วพลาดตกเขาขึ้นมา3. ห้ามหยอกล้อกัน ห้ามเดินแซง ห้ามเดินสวนกัน เพราะทางเดินเป็นทางเดินสันเขา กว้างไม่เกิน 1 ม. ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว 4. ถ้าจะถ่ายรูป ต้องหยุดยืนแล้วค่อยถ่ายรูป ไม่ให้เดินไปถ่ายรูปไป เพราะพลาดไป เสียเวลางมหาร่างอีก เราควรปฏิบัติตามคำแนะนำดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง จุดที่ยากคงเป็นจุดนี้แหละ แต่มีเจ้าหน้าที่คอยกำกับอยู่ว่าเท้าไหนวางตรงไหน และมีเชือกให้เราจับ แนะนำว่าพกถุงมือไปด้วย เพราะเวลาจับเชือกดึงตัวขึ้นจะได้ไม่บาดมือ จุดนี้ปัญหาของเราคือ ขาเราสั้นไปหน่อย เวลาก้าวตามที่เจ้าหน้าที่บอก บางจุดเราก้าวไม่ถึง -_-" จะเห็นว่าเรายืดจนสุดขาแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ให้กำลังใจดีมาก บอกว่า คนขาสั้นกว่าเราก็ผ่านมาแล้ว 555 หลังจากผ่านด่านปีนหินไปแล้ว ก็เป็นทางเดินสันเขา แต่มีหญ้าขึ้นสูง เลยดูไม่น่ากลัวมาก แต่ก็ไม่ควรประมาท ต้องมีสติในการเดินตลอดเวลานะคะ เห็นวิวสวยๆแบบนี้ เราก็หายเหนื่อยแล้ว ระยะทางขึ้นมาบนยอด เจ้าหน้าที่บอกว่าแค่ 800 ม. แต่ทำไมเรารู้สึกว่ามันไกลกว่านั้นนะ ใช้เวลาเดินมาถึงบนนี้ก็ประมาณ 1 ชม. ด้านบนนี้ลมแรงดี ความสูงจากระดับน้ำทะเลของยอดเขาช้างเผือกอยู่ที่ 1249 ม. เราพักเหนื่อยบนยอดนี้ ถ่ายรูปชมวิว คือมันสวยนะ ทิวเขาสลับซ้อนกันไปมา จากบนยอด เราเห็นเขาอีกลูกข้างหน้า แต่ไม่มีทางเดินไปเขาลูกนี้นะ ห้าโมงเย็นนิดๆ เราก็เริ่มเดินลงแล้ว เพราะถ้าลงช้ากลัวว่าจะมืดแล้วจะเดินลำบาก ที่นี่เราไม่สามารถอยู่ชมพระอาทิตย์ตกได้นะคะ เพราะอันตรายเกินไป แม้ว่าใจอยากจะอยู่นานกว่านี้ เพราะภาพตรงหน้ามันสวยมากเลย แนวสันเขาเป็นชั้นๆ สุดลูกหูลูกตาเลย เราเดินกลับทางเดิน พอมองย้อนกลับไป เส้นทางสันเขา เหมือนเราเดินอยู่บนหลังช้างเลย หรือที่เราเรียกกันว่า "สันคมมีด" ยังดีนะที่มีเชือกให้เราเกาะ อย่างน้อยก็อุ่นใจ มาถึงจุดที่ต้องปีนลงแล้ว เราว่าจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้หวาดเสียวสุดละ เพราะข้างๆไม่มีอะไรเลย ซ้ายขวาเป็นเหวหมด ขาลง เจ้าหน้าที่บอกว่า ขึ้นมายังไงให้ลงแบบนั้นเลย เอ่อ "พี่คะ หนูจำไม่ได้อ่ะค่ะว่าตอนขึ้นขาไหนวางตรงไหน" เจ้าหน้าที่ก็บอกวิธีลงตามเดิม 555 ยังคิดไม่ออกว่าถ้าไม่มีเชือกนี่ เราจะเดินลงได้มั้ยนะ ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ขาลงนี่สิ มันให้ความรู้สึกหวาดเสียวมากกว่าอีกนะ เพราะเดินลงเราจะเห็นภาพวงกว้าง และมองเห็นว่ามันชันกว่าตอนเดินขึ้นเยอะเลย ก็ใช้ก้นกระดึ๊บๆลงไป ลงช้าๆไม่ต้องรีบ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ลงมาก็เย็นพอดี ได้เวลาต้มมาม่ากินกัน หลังจากนั้นก็เข้าเต๊นท์นอน ตอนแรกว่าจะนอนดูดาวนอกเต๊นท์สักหน่อย แต่ไม่ไหว ลมแรงเกิ๊น แรงจนทั้งคืนเราแทบไม่ได้นอน เสียงเต๊นท์ถูกลมพัด พั่บๆๆ ดังมาก ยังเกรงว่าเต๊นท์จะปลิวมั้ยนะ ตื่นเช้ามาพร้อมกับแสงแรกของวัน ยังคงมีลมแรงอยู่ ขนาดลูกหาบยังบอกว่าเมื่อคืนเค้ายังต้องย้ายไปนอนที่อื่น ปกติไม่ลมแรงขนาดนี้ สงสัยลมคงมาต้อนรับพวกเรา 555 มีเต๊นท์ของเจ้าหน้าที่ ดักตรงทางขึ้นยอด อาจจะเพื่อป้องกันคนแอบขึ้นไปก็ได้นะ หลังจากชมแสงเช้าและกินข้าวเสร็จ ก็ได้เวลาต้องเก็บเต๊นท์ เตรียมเดินลง เพราะถ้าลงสายๆ แดดจะแรง เดี๋ยวจะร้อนเกินไป ขาลงเราใช้เวลาน้อยกว่า ประมาณ 3 ชม. เดินกลับทางเดิม พอถึงหมู่บ้านอีต่อง ก็อาบน้ำอาบท่า เป็นอันจบทริปเขาช้างเผือก 2 วัน 1 คืนที่แสนประทับใจ ดีใจที่ได้มาเยือนสักทีนะ "เขาช้างเผือก"สรุปรายละเอียดในการขึ้นเขาช้างเผือกเขาช้างเผือก ⛰ ติดตามการเปิดขึ้นเขาได้ที่ เพจอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี📅 ปี 2562 เปิดให้ขึ้นได้ตั้งแต่ 24 พ.ย.62 - 31 ม.ค. 2563 จากที่สังเกตุ ก็จะเปิดประมาณช่วงนี้ทุกปี☎️ โทรจองได้ล่วงหน้า 7 วันเท่านั้น : เบอร์โทรจองอุทยาน 034-510979 และ 098-2520359 ตั้งแต่ 08:30-16:30 จองได้ครั้งละ 5 คน (ถ้าไปมากกว่านี้ก็ต้องโทรหลายรอบ)✏ ตอนจองต้องแจ้งชื่อนามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรโดยทันที และส่งหลักฐานเป็นสำเนาบัตรประชาชนภายใน 1 วัน ที่ E-mail : Thongphaphumoffice@gmail.com📣 วันนึงรับได้แค่ 60 คนเท่านั้น!! พยายามโทรให้ติดและภาวนาให้มีที่เหลือ⛺ เต๊นท์ ผ้าห่ม สามารถเช่าได้ที่อุทยาน แต่แนะนำว่าเช่าแล้วหิ้วไปเลยนะ เพราะของเรา จนท.บอกไม่ต้องๆเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า จนท.เอาไปให้เอง แต่พอเอาเข้าจริง กว่า จนท.จะเอามาให้ก็ปาไป 9 โมงกว่า แถมลืมเอาผ้าห่มมาให้อีก 😓 เลยต้องเสียเวลารออีก🧗♂️ ใครไม่อยากแบกของก็สามารถจ้างลูกหาบได้ ราคาเหมาต่อคนคือ 1500 บาท/30 kg. ถ้าเกินก็จะคิดกิโลกรัมละ 50 บาท💸 ค่าเข้าอุทยาน+ค่าบริการ คนละ 70 บาท ถ้ามีรถยนต์ก็คิด 30 บาท/คัน และค่า จนท ที่พาเราเดิน 2600 บาท/จนท 1 คน เนื่องจากวันนึงเราใช้ จนท 5 คน ก็จะนำมาหารกับจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งเค้าจะเก็บคนละ 260 บาท/คน ก่อน แล้วพอเราลงมาเขาก็ไปรับเงินคืนตามที่หารจำนวนคนที่ขึ้นเขา ณ วันนั้น พร้อมรับประกาศนียบัตรด้วยนะ ไหนๆขึ้นไปแล้วก็อย่าลืมมาแวะรับใบประกาศนียบัตรมาเก็บไว้เป็นที่ระทึกกันนะ อ้อ..เราทำประกันด้วย แค่ 10 บาทเอง ทำไปเถอะ ถูกกว่าค่าขนมอีก