ได้อ่านชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งสับสน เพราะมันมีที่มาจากวันหนึ่งพริกแกงส้มหมด ผู้เขียนจึงเกิดความคิดซน ๆ ลองนำพริกแกงเผ็ดใช้แทนดู ซึ่งมันให้ความรู้สึกว่า “เออ!!! ...อร่อยไปอีกแบบ” แถมยังหอมใบมะกรูดและข่าด้วย เป็นการคิดนอกกรอบ (ถึงแม้ครูอาหารไทยจะมองแบบเคือง ๆ ก็เถอะ) วันนี้เองก็เช่นกัน ตื่นมาแต่เช้าเข้าครัวทำกับข้าว ระหว่างที่กำลังนึกว่าจะทำเมนูไหนดีก็เหลือบไปเห็นดอกฟักทองชูช่อเหลืองอร่าม ท้าทายแสงตะวัน อารมณ์ศิลป์ก็บรรเจิด เกิดเป็นกลอน ดอกฟักทองชูช่อ ล้อสุริยน ดั่งคนแกร่งไม่ ย่อท้อ แดดแรงร้าว หยัดสู้ อุปสรรคสูง คงข้าม คว้าชัย เมื่อได้กลอนมาบทหนึ่งแล้ว ก็ไม่รอช้า ตั้งใจว่าวันนี้จะทำเมนูแกงส้มผักรวมหลาย ๆ ดอกปนกัน ที่เล็งไว้นอกจากดอกฟักทอง ก็มีดอกแค และยอดผักหวานเล็กน้อย แต่ละอย่างนั้นมีสรรพคุณดีเลิศทั้งนั้น ภาพโดยผู้เขียน -ดอกฟักทองมีเบต้าแคโรทีน มีลูกเล็ก ๆ กรุบ ๆ แถมมาด้วย -ดอกแคแก้ไข้หัวลม -ผักหวานมีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ -วัตถุดิบมีดังนี้ -ดอกแคผู้เขียนใช้แคขาวถ้าแคแดงก็อร่อยแต่น้ำแกงจะสีเข้มออกแดง เลือกดอกตูมบ้าง บานบ้าง แต่ไม่เอาเหี่ยว ๆ ดอกฟักทองใช้ได้ทั้งบานและตูมเช่นกัน ยอดผักหวานเด็ดยอดและใบไม่แก่นัก ดอกฟักทองนั้นมีแม่ผู้เขียนช่วยลอกขนตรงก้านดอกออก เพราะถ้าขืนกินไปคันคอแย่ ส่วนดอกแค ผ่ากลางดอกล้างให้สะอาด -พริกแกงเผ็ด -มะขามเปียก -ปลาทูแม้ว่าผู้เขียนจะใช้ปลาทูที่ทอดแล้วเหลือมื้อก่อน แต่ก็ให้รสอร่อย ไม่ต้องเหลือทิ้ง -ปลาแห้ง เพิ่มรสกลมกล่อม -มะเขือเทศ มีวิตามิน C สูง กินแล้วผิวสวย -ใบโหระพา แมงลักข้างรั้ว นอกจากเพิ่มกลิ่นหอมยังมีประโยชน์หลากหลาย เช่นขับลม บำรุงธาตุ อีกด้วย ภาพโดยผู้เขียน วิธีทำ -ตั้งน้ำคะเนไม่ต้องเยอะ น้ำเดือดปุด ๆ ละลายพริกแกงเผ็ด -รอจนน้ำเดือดเต็มที่ ผู้เขียนใส่ปลาแห้งและเนื้อปลาทูลงไป เคี่ยวจนเปื่อย ปรุงรสเปรี้ยวด้วยมะขามเปียก ชิมรส เผ็ดนิด เปรี้ยวหน่อย -รอจนน้ำแกงเดือดอีกรอบ ใส่ดอกแค ดอกฟักทอง ยอดผักหวาน -คลุกสักสองสามทีพอดอกสลบ (ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่สุก) จะได้พอมีสีเขียว ๆ และคุณค่าอาหารน่ากิน -ก่อนยกลงใส่ใบแมงลัก โหระพา พอสุกน้ำแกงส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย ตักเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ กินกันพร้อมหน้า ภาพโดยผู้เขียน เป็นอย่างไรครับ กับข้าวสูตรผู้เขียนนอกจากจะได้อารมณ์ศิลป์ แปลก และดีต่อสุขภาพอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ยังห่างไกลเบาหวาน ความดัน แบบภูมิปัญญาไทยอีกด้วย ภาพปกโดยผู้เขียน