พูดก็พูดเถอะ สำหรับใครที่คิดจะขี่มอเตอร์ไซค์จากกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางจากเพชรเกษม นครปฐมเพื่อไปถึงปลายทางกาญจนบุรีในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ถ้าไม่หนังหนาทนร้อนพาร่างออกไปให้แสงแดดฆ่าเชื้อโควิด-19 แล้ว อาจมีภาวะบางอย่างในจิตใจที่ใกล้เคียงคำว่าเหงา...ไม่มากก็น้อย ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังคิดอยู่นานจะทำอะไรแก้เซ็งดี สุดท้ายก็พาร่างขึ้นควบรถจักรยานยนต์ ออกจากบ้านมาตามเส้นทางเพชรเกษมโดยมีความตั้งใจแน่วแน่จะไปชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว เก็บภาพบรรยากาศยามเย็นถึงค่ำที่เมืองกาญจน์เสียหน่อยแล้วค่อยเดินทางกลับให้หายคิดถึงบางความทรงจำที่ผ่านไปไม่หวนคืน ที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมีฝนตกลงมาบ้างประปราย เมฆครึ้มจางหายไปเมื่อเข้าสู่เขตอำเภอท่าม่วงก่อนถึงอำเภอเมืองกาญจนบุรี สองข้างทางมีรถยนต์ไม่มากนัก ป้ายบอกทางสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงที่พักมีให้เห็นตลอดทางจนอดนึกเสียดายที่ไม่ได้พกเสื้อผ้าเผื่อมาด้วยไม่ได้ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นป้ายบอกทางไปทะเลสาบท่าล้อ ทะเลสาบน้ำจืด แหล่งท่องเที่ยวประจำอำเภอท่าม่วง ใจเกเรก็หักเลี้ยวรถจักรยานยนต์ผ่านประตูวัดบ้านทอง เข้าสู่บรรยากาศของทะเลสาบที่มีขุนเขาโอบล้อมในแสงยามบ่าย จอดมอเตอร์ไซค์ แวะซื้อน้ำดื่มให้คลายร้อน หยุดยืนมองภาพตรงหน้าที่ดูราวกับหลุดมายังชายทะเลอันเงียบสงบที่ไหนสักแห่ง หาใช่ดินแดนแห่งเทือกเขาตะวันตก แวบหนึ่งนั้นรู้สึกอยากเอนกายลงบนเปลใต้ร่มที่ถูกหุบไว้ชั่วคราว แล้วหลับไปด้วยเสียงบรรยากาศของครอบครัวที่พาเด็กน้อยมาเล่นน้ำ ทะเลสาบท่าล้อเป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นและพัฒนาโดยโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์องค์การบริหารส่วนตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะเป็นหาดทรายความยาวราว 500 เมตรลาดลงสู่แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งลักษณะทางธรรมชาติของแม่น้ำแม่กลองในช่วงนี้จะเป็นคุ้งน้ำ มีความกว้างคล้ายทะเลสาบ และมีภูเขาโดดเด่นเป็นฉากหลัง ทำให้มีบรรยากาศไม่แตกต่างจากชายทะเลเท่าใดนัก ดังนั้น บริเวณหาดทรายจึงมีบริการเตียงผ้าใบ ร่ม ห่วงยาว เสื้อชูชีพ เรือพายไว้ รวมถึงห้องน้ำให้บริการ ทว่าน่าเสียดายในวันที่เดินทางไปถึงนั้น ร้านค้าที่เปิดให้บริการมีเพียงร้านชำเล็ก ๆ ที่แวะซื้อเครื่องดื่มเท่านั้น ขณะที่ร้านอาหารปิดให้บริการ โดยร้านอาหารนั้นมีทั้งอาหารตามสั่ง และอาหารอีสานทั่วไป การเดินทางมาทะเลสาบท่าล้อนั้น หากมาจากกรุงเทพฯ เหมือนผู้เขียนให้สังเกตแยกไฟแดงท่าล้อ และวัดบ้านทอง เลี้ยวรถเข้าประตูวัดมาตามทางจะเจอลานจอด และทะเลสาบทอดตัวอยู่เบื้องหน้า ยืนมองดูบรรยากาศของทะเลสาบที่มีภูเขาโอบล้อมได้ไม่นานนักก็ควบพามอเตอร์ไซค์เข้าสู่ตัวเมืองเก่าจังหวัดกาญจนบุรีที่ขรึมขลังด้วยวันเวลาของเมืองซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์มากมาย หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ คือ เหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตัวเมืองเก่าไม่ไกลนักจากสะพานข้ามแม่น้ำแควเคยเป็นทั้งสถานที่พักของนายทหารญี่ปุ่นมาจนถึงแหล่งพำนักของลูกหลานบรรดาเชลยศึก ร่องรอยของสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกยุคสมัยปรากฏอยู่ในเห็นอยู่บนตัวตึกเก่าหลายหลัง ซึ่งให้ทั้งความรู้สึกงดงามในความเก่า และความเศร้าของกาลเวลาที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกแล้ว ทั้งนี้ นอกจากการชมสภาพเมืองเก่าในตัวเมืองกาญจนบุรีแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกล ยังมีสะพานข้ามแม่น้ำแคว รวมถึงสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก รวมไปถึงพิพิทธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า ให้เยี่ยมชมได้อีกด้วย ขณะที่หากมีเวลา (อย่างน้อยก็มากกว่าผู้เขียน) จากสถานที่ในตัวเมืองเหล่านี้ยังสามารถไปแวะชมวัดถ้ำเสือ ซึ่งมีพระพุทธรูปปางประทานพรใหญ่ที่สุดในเมืองกาญจน์ และแลนด์มาร์คสำคัญที่คราวหน้าหากมีเวลาจะแวะไปยลกับตาสักครั้ง คือ ต้นจามจุรียักษ์ ที่ตั้งอยู่ในกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 อำเภอด่านมะขามเตี้ย ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปประมาณ 11 กิโลเมตร แต่วันนี้ ต้องลาก่อนแล้วกาญจนบุรี ดวงอาทิตย์โรยแสงบ่งบอกใกล้เย็นย่ำ ความตั้งใจที่อยากจะไปเก็บภาพสะพานข้ามแม่น้ำแควเลือนหายไป บิดคันเร่งจาก 40 ถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงราวกับต้องการหนีจากอะไรสักอย่าง แต่เราต่างหนีความทรงจำไม่ได้ หนีอดีตไม่พ้น ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ แค่ต้องพาตัวเองออกไปเจอสิ่งใหม่ ๆ ผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ให้ชีวิตได้มีสีสัน มีความทรงจำใหม่ ๆ ที่สดใสขึ้นกว่าเดิม ภาพถ่ายโดยผู้เขียน