สวัสดี ผู้อ่านทุกท่าน สำหรับผู้ที่กำลังหาทางลดน้ำหนักกัน จากประสบการณ์ของผม ในวัย 38 ปี สูง 161 ซม. น้ำหนัก 64 กก. เข้าไปตรวจ BMI หรือดัชนีมวลกายแล้วอยู่ในระดับท้วม โรคอ้วนระดับ 1 รู้สึกได้เลยว่าเราอ้วนแล้วจริง ๆ ถึงไม่ได้มาตรวจดัชนีมวลกาย กางเกงก็ฟ้องว่าแน่นเอวแล้ว เสื้อก็ฟ้องว่าพุงดันแล้ว เวลาทำงานออกแรงบางอย่างก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อย อึดอัด ไม่คล่องตัว แต่ปากก็ยังสนุกกับการกินโดยไม่เลือกและหักห้ามใจตนเอง จนวันหนึ่งมาชั่งน้ำหนักอยู่ที่ 64 กก. เริ่มรู้สึกว่า เราปล่อยตัวมานานจริง ๆ ถ้าปล่อยอีก 70 กก.ก็อ้าแขนรอเราอย่างแน่นอน และคิดอีกว่ายิ่งอายุยิ่งลดลงยากจึงรีบลดตั้งแต่ตอนนี้เลย บางคนคิดว่าแค่ 64 กก.จะมากตรงไหนแต่ถ้าเทียบความสูงและอายุแล้ว ถือว่าเริ่มอันตรายแล้ว ยิ่งรู้ว่าน้ำหนักเกินมาตรฐานแล้ว ยิ่งมาคำว่าท้วม อ้วนด้วย ยิ่งรู้ได้เลยว่าไอ้ที่เคยคิดว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงกังวลเรื่องน้ำหนักกันหนักหนาจนมาถึงวันนี้ตัวเองต้องมาประสบเจอกับภาวะ "ความอ้วน" แม้เพียงระยะที่ 1 ก็ตาม การลดน้ำหนักคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้ห่างไกลจากน้ำหนักที่ขึ้นด้วยเลข 7 ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะลดน้ำหนักให้ได้ แม้ว่าจะยากก็ตาม หลังจากมีความตั้งใจแล้ว ผมก็เริ่มหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ซึ่งมีแค่ 2 อย่างที่ต้องหาและทำมาเพิ่ม นั่นก็คือ เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล แบบบันทึกการลดน้ำหนัก 1 หน้ากระดาษรวมทั้งเดือน ส่วนที่เหลือเป็นภาคปฏิบัติ มีอะไรบ้าง ปฏิบัติตามขั้นตอนเป็นข้อ ๆ กันเลย ตื่นเช้าขึ้นมาดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วเข้าสู่ร่างกาย บังคับให้ถ่ายตอนเช้าให้ได้ แล้วมาชั่งน้ำหนักเมื่อท้องโล่ง ขึ้น 2 ครั้ง เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรง เขียนแบบบันทึก น้ำหนัก/เวลาชั่ง ทานข้าวเช้า สูตร ข้าวสวยแค่ 1 ทัพพี แกงตักมาอย่างละนิด เอาแค่เท่าที่มี ไม่เพิ่มอีก รวมทั้งมื้อเที่ยงและเย็นด้วย (อาจจะยากและไม่คุ้นในระยะแรก แต่ผ่านไป 2-3 ก็คุ้นเอง) หลัง 3 มื้อให้ดื่มน้ำปกติ ไม่ต้องมาก ไว้ดื่มระหว่างวันแทน ทุกมื้อหลังทานเสร็จ อย่าเพิ่งนั่งให้ยืนอย่างน้อย 5-10 นาที เมื่อหิวให้ดื่มน้ำแทนไปก่อน หรือไม่ไหวจริง ๆ ก็กินเป็นพิธีอย่าจัดเต็ม แล้วทุก ๆ เช้าจะสนุกกับการลุ้นตัวเลขน้ำหนักที่ค่อย ๆ ลดลง หรือหากมีขึ้นลงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะการทานอาหารและการใช้พลังงานในแต่ละวันส่งผลต่อการลดน้ำหนัก แต่แนวโน้มก็จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะการทานอาหารที่น้อยลง ต้องดึงพลังงานจากส่วนเกินในร่างกายทุก ๆ วัน ก็ทำให้ผอมลงได้อย่างแน่นอน การใช้วิธีลดน้ำหนักแต่ไม่ออกกำลังกายสามารถทำได้จริง และไม่มีผลกระทบกับสุขภาพด้วย แต่ใครที่ชอบออกกำลังกายก็ทำได้แต่ต้องไม่หักโหม อยากให้ลองทำกันดู ถ้าเราทำไปแล้ว 2-3 วันน้ำหนักไม่มีทีท่าว่าจะลดก็ต้องดูอาหารการกินของเราที่ผ่านมาแต่ละวันที่ส่งผลต่อน้ำหนักขึ้นลงได้ แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกทานอาหารลดหรืองดประเภทผัด ทอด ดอง หวาน ขนมกินเล่นอีก ถ้าทำได้ น้ำหนักก็ลดได้อย่างแน่นอน และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราในระยะยาวได้อีกด้วย เดือนแรกผมลดลงไปได้ 6 กก.รู้สึกเบาตัวมากขึ้น มีกำลังใจทำต่อ เดือนที่ 2 ลดได้อีก 4 กก. รวม 10 กก. จาก 64 กก.เหลือ 54 กก. ผมรู้สึกว่าพอใจแล้ว เพราะถ้าน้อยกว่านี้อีก บุคลิกจะดูไม่ดี แค่นี้ก็มีคนมาทักป่วยหรือเปล่า กางเกงก็หลวม เสื้อก็ใส่สบาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็เลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์นี้ให้ผู้อื่น เผื่อจะลองทำดู แต่ใครที่สงสัยว่าน้ำหนักจะขึ้นได้อีกไหม ก็บอกได้ว่าขึ้นได้ตามอาหารและเครื่องดื่มที่นำเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่อยากให้ขึ้นเยอะ ก็คอยควบคุมเหมือนเดิม ไม่ต้องชั่งน้ำหนักทุกวันก็ได้ 2-3 วันชั่งที ถ้าขึ้นก็ทานน้อยลงแค่นั้นเอง น้ำหนักก็จะอยู่ตัว และหลังจากที่น้ำหนักลดลงตามที่เราพอใจแล้ว ก็สามารถออกกำลังกายได้ ทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับ สมสัดส่วนมากยิ่งขึ้น ถือว่าสมดุลทั้งร่างกายและน้ำหนักเลย ลองทำดู ก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าไม่มีผลกับตัวเราก็แค่เปลี่ยนวิธี เพราะแต่ละคนอาจจะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ก็ให้นำข้อดี ๆ ของหลาย ๆ คน มาผสมเป็นวิธีใหม่ที่เหมาะกับตัวเราเอง ที่สำคัญหากวันไหนที่น้ำหนักขึ้นอีก ก็ใช้วิธีการเดิมอีก ก็สามารถทำได้ลดได้จริง ต้องทำด้วยตนเองถึงจะรู้ ว่าจริงไหม! เครดิต ภาพปกโดยผู้เขียน และขอบคุณแอพ canva ช่วยตกแต่งภาพให้สวยงาม ภาพประกอบที่ 1-7 โดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !