ร่วมเวลากว่าครึ่งเดือนที่ เรื่องราวของโควิด รุกรามไปทั่วและสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนแต่ละคน ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ในวัด สถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ ย่อมชี้ให้เห็นถึงการจัดการที่เข้มงวด ในบริบทของทางศาสนาเรียกว่า "วินัย" การยึดถือวินัยมาสู่การปฏิบัติ คือ การจัดการความไม่เป็นปกติให้สู่ภาวะปกติได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเริ่มจากการจัดการภายในตนเอง "วัดญาณเวศกวัน" นับเป็นวัดที่มีบุคคลมาทำบุญและศึกษาธรรมตามแนวทางของท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตโต) อย่างหลากหลายและจำนวนมาก กล่าวกันว่า ผู้คนส่วนมากที่เข้ามาล้วนศึกษาธรรมด้วยหลักปัญญามากกว่าศรัทธา กล่าวคือ แนวทางการสอนธรรมของท่านนั้นให้หลักคิดและวิธีปฎิบัติที่เข้าใจ เข้าถึง และนำไปสู่การพัฒนาตนเองก่อนจึงลงมือเชื่อ ซึ่งในภาวะวิกฤตเช่นนี้ วัดก็เป็นต้นแบบของการจัดการเรื่องของโรคระบาดที่มากระทบทั้งกายและใจของผู้คนได้เช่นกัน โดยเริ่มจากตัววัดเอง ความเป็นอารามของวัดในวันนี้ ดูเงียบสงบ เหมือนพบกับสัจธรรมโดยไม่ต้องมีคำสอนใดมาบอกกล่าว มีเพียงความเคลื่อนไหวของใบไม้ และความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ที่โบกไสวไปมา เสียงนก แต่ทว่าในด้านการจัดการนั้น วัดได้ประกาศและเข้มงวดตามแนวทางของมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการรวมกลุ่มบุคคลเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วยเช่นกัน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปวัดญาณเวศกวัน หลาย ๆ ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นภาพที่น่าจดจำว่า แม้เรื่องราวของสุขภาพจำเป็นต้องทำความเข้าใจระหว่างชีวิตกับปัจจัยที่จำทำให้ชีวิตนั้นมีความหมาย หรือ การทำให้มีสุขภาพดี ประกอบไปด้วย ด้านกาย ใจ สังคม อารมณ์ และจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตามแต่ วัดก็ยังเป็นจุดเสี่ยง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่อารามจะต้องแสดงจุดยืนแห่งความงามเพื่อการป้องกันภัยต่อพระสงฆ์และพุทธบริษัทเอง จากคณะปกครองสงฆ์จังหวัดนครปฐม ได้ประกาศและมีมติให้ทุกวันในเขตการปกครองได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด เพื่อสุขภาวะรอบด้านและสะดวกต่อการทำงานของส่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หลายคนอาจเบนความสนใจไปที่คุณหมอ หรือบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ที่จะมีบทบาทในการรักษาให้เชื้อไวรัสนี้ถูกกำจัดหรือหมดไป แต่บทเรียนอย่างหนึ่งที่การจัดการที่ดีคือ การจัดการใจ การจัดการตนเองตั้งแต่แรก คงจะเป็นหนทางที่ช่วยเสริมและกลับมาตระหนักรู้ในภาวะคับขันว่า ชีวิตนั้น บางครั้งต้องการความเงียบ และสงบ จึงจะผ่านพ้นและพบแสงสว่างในสักวัน วันนี้วัดญาณเวศกวันยังคงเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการที่น่าเข้าไปกราบไหว้อย่างสนิทใจ แต่ทว่า เป็นไปได้ต่างคนต่างอยู่ อย่าเพิ่งเข้ามานะจ๊ะโยม ๆ จ๋า เพราะพระและระบบการจัดการของวัดท่านมีมาตรฐานของท่านอยู่เหมือนกัน และเชื่อว่าทุกวัน ไม่ได้ใจดำที่จะรับสังฆทานโยมหรอกครับ แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองภัยทุกท่านเทอญ ไม่เพียงแค่โควิดกระทบกับวัดเท่านั้น แต่เชื่อว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านผลไปเราคงได้มีบทเรียนร่วมกันระหว่างวัด บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกลับมาทวนสอบใจกันอีกทีว่า เราผ่านพ้นและจัดการใจของตนเองในสภาวะทุกข์ที่มากดทับได้อย่างไรกัน จากการที่ผู้เขียนผ่านเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์ก็พบว่า หลังจากที่ทางคณะสงฆ์ฯ ได้ประกาศและมีมติให้วัดดำเนินการอย่างเคร่งครัดในด้านของการไม่จัดกิจกรรมพบปะกัน แม้กิจกรรมเหล่านั้นอยู่ในวิถีของการก่อกุศลก็ตามแต่ ทางวัดและผู้มีจิตศรัทธาต่างเข้าใจความหมายและสามารถแยกส่วนในการปฏิบัติตนด้วยปัญญาว่า เรื่องสุขภาพ ที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องของความสงบจิตสงบใจ แต่หากเลี่ยงได้ ควรที่จะปฏิบัติตนเพื่อข้ามพ้นวิกฤติในช่วงนี้ด้วย "วิถีแห่งปัจเจก" มากกว่า การร่วมกิจกรรมในแบบมหาชน มหากุศลนะครับ ผู้เขียนคิดว่า แหล่งสื่อสารหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวสาธุชนพร้อมในการน้อมใจรับฟังเเละไม่ก้าวล่วงเช่นนี้ หากหากลวิธีมาช่วยกันสร้างความร่วมมือโดยมีวัดที่เป็นต้นแบบด้านการจัดการที่ดีก็จะส่งผลต่อความเข้าอกเข้าใจให้กับผู้ใฝ่บุญทั้งหลายและผู้ที่ยังแคลงใจในมาตรการของรัฐว่า แม้แต่วัด ก็อยู่ร่วมกับพวกเราในบรรยากาศหวาดหวัน แต่ท่านก็ไม่ควรเป็นจุดเสี่ยงให้กับพุทธศาสนิกชน ถึงได้ตัดสินใจดำเนินการอย่างน่าสาธุการยิ่ง ภาพถ่ายทุกภาพโดย : ผู้เขียน