เพื่อน ๆ ที่ชอบเป็นนักสังเกตและนักอ่าน พอจะทราบไหมครับว่า ทำไมโลกของเรายิ่งพัฒนามากเท่าใด เหมือนกับว่า มนุษย์ยิ่งจะซึมเศร้ามากไปเท่านั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยนะครับ เรามีนักวิทยาศาสตร์และนักวิศวกร ที่กำลัง ไชโยกับผลผลิตทางนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์คิดค้นอะไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านั้น ส่งแรงเหวี่ยงมาสู่ผู้คนธรรมดาสามัญอย่างไม่เคยเกิดขึ้นก็มีเช่นเดียวกัน ผมชวนสังเกตอย่างคนทำงานด้าน HR มาก่อนนะครับ สิ่งแรกเลยคือ แรงงาน จะต้องปรับตัว และสะดุ้งทุกครั้ง เมื่อหุ่นยนต์ที่ถูกคิดค้นมาทำงานแทนเรา นั่นหมายความว่า เรามีโอกาสตกงานสูงทีเดียวนะครับ แต่ขอวงเล็บว่า "ในบางอุตสาหกรรม" เท่านั้น และแน่นอนว่าสำหรับโลกของตัวหนังสือ และ ตำรา ก็ล้วนแล้วแต่ไหลบ่าเข้าไปสู่ความเป็น Big Data ที่นำไปต่อยอดในการสร้างสิ่งเหล่านั้น ที่เรียกว่า AI หรือ ภาษาบ้านเราเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ นั่นเอง ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น ก็มีราคาแพงเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะข้อมูลจาก User ตัวจริงหรือลูกค้าที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการซื้อ และ มีกำลังในด้านการตลาดนั่นเองในทางกลับกันนะครับ ในเชิงวิชาชีพ ยุคนี้ ต้องยกนิ้วให้และเรียกได้ว่า เป็นเทรนด์ของเค้าเลยที่จะมาคานอำนาจของความหม่นเศร้าของมนุษย์ที่กำลังไร้เรี่ยวแรงอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือ วิชาชีพและแนวทางของขบวนการที่ผู้ทำงาน ด้าน "จิตวิทยา" ยังไงล่ะ ซึ่งวิชาชีพอื่น ๆ เช่น คุณหมอ นักวิทยาศาสตร์ คุณพยายาบาล ที่ทำงานด้านสุขภาพ ก็นับว่าอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นเช่นเดียวกันว่าด้วยการพัฒนาตนเองจากสถิติของการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ล่าสุด อ้างอิงจาก Ibusiness พบว่า หนังสือแนวจิตวิทยาและการพัฒนาตนยังคงเกาะติดเทรนด์หนังสือขายดีที่สร้างรายได้ให้กับสำนักพิมพ์ในหลาย ๆ สำนักระดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่า "สำเร็จได้ ไม่ต้องรอให้สมบูรณ์แบบ" เล่มสีฟ้าที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงนี้ เป็นหนังสือที่ติดตลาดเช่นเดียวกัน แล้วข้างในนั้น มันประเทืองปัญญาผู้อ่านและนำไปสู่การจะพัฒนาตัวเองสู่เป็นผู้สมบูรณ์ได้อย่างไร เดินตามกันมาเลยจ้า ในหนังสือ เล่มนี้ เพียงแค่สัมผัสกับถ้อยคำของ "คำนำ" ผู้เขียนเองก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ คิดเล็ก ๆ มีความกล้า และเชื่อมั่นในสิ่งเล็ก ๆ แล้วลงมือทำซะเดี๋ยวนั้นเลยหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมองว่า ออกแนวเสริมกำลังใจในแบบฮาร์ดคอร์ เหมือนกับกำลังถูกตบหัวแล้วลูบหลังก็ไม่เชิง หากจะเปรียบตำรา เหมือนกับคน ผมนึกถึงอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่มักพูดคำว่า "มึงมันกระจอกไง มึงจึงไม่ทำอะไรและไม่สำเร็จสักที" ชนิกานต์ แตงน้อย แปล ออกมาด้วยภาษาละมุนละม่อมมาก ๆ และอ่านแล้วไม่รู้สึกกระแทกใจเหมือนกับอาจารย์เฉลิมชัยที่แว่วเข้ามาในมโนภาพของผู้เขียนทันทีที่เปิดบทนำ และอ่านทีละบรรทัด หนังสือ กำลังบอกกับเราว่า ให้ยอมรับเสียเถิดว่า ความไม่สมบูรณ์แบบนั้น มีอยู่จริง และสวยงามเอาเสียด้วยหากเราเชื่อ หลักการของความสมดุลย์ หรือ ทำความเข้าใจกับ เหรียญที่ย่อมมีสองด้าน หนังสือ เล่มนี้ จะพยายามคลี่คลายให้การเรียนรู้มุมที่เรียกว่า สมบูรณ์ที่สุด ถูกแคะ แกะ งัดออกมา ให้มีพื้นที่สำหรับความไม่สมบูรณ์ไปเติมเต็มสตีเฟน ไกส์ ซึ่งเป็นผู้เขียน เขาเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญต่อการเผชิญได้ด้วยก็ต่อเมื่อเรารู้จักจังหวะของการเปลี่ยนแปลง ผมมองว่า สตีเฟน ไกส์ นอกจากเป็นนักเขียนแล้ว เขายังเป็นศิลปิน ผู้เฝ้าสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของแง่มุมชีวิต โดยเฉพาะในแนวจิตวิทยาที่จะสะท้อนกลับมาสู่การพัฒนาตัวเอง และให้กำลังใจกับเพื่อนมนุษย์ ขอยกตัวอย่าง คำทิ้งทายของเขาไว้สักหน่อยที่ผมพอจะจำได้ และถอดออกมาจากเล่ม นั่นก็คือว่า เขามองเห็นอิสรภาพในความไม่สมบูรณ์แบบ และมองเห็นผู้ที่ติดกับดักความสมบูรณ์แบบแต่ไม่ได้ลงมือ ว่า เป็นข้อจำกัดแล้วอะไรล่ะ คือปริศนา ของผู้ที่ไม่เอาไหน พึงแสวงหาจากตำราเล่มนี้ผู้เขียน เห็นเทคนิคบางประการที่ไม่เคยพบมาก่อนเช่น การเสเเสร้ง ในการแสดงว่าตนเองมั่นใจ แน่นอนว่า การไม่มั่นใจ คือ จุดบอดของการไม่กล้าที่จะเผชิญ หากเราจะลงทุนกับการแกล้ง หรือ เสแสร้งสักหน่อยเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์กดดัน ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยด้านการทำงานหรือการใช้ชีวิตแล้วละก็ บางอย่างการเสเเสร้าง คือ ทักษะชั้นยอดเลยนะครับเช่น เสเเสร้งว่า เดี๋ยวเรื่องร้าย ๆ มันก็จะผ่านไป เป็นต้นทีนี้ เรามาดูองค์ประกอบของเนื้อหากับแบบคร่าว ๆ จากสารบัญกันนะครับ ผมพบว่า มี 3 ประเด็นใหญ่ คือ การให้ความหมายเพื่อตรวจสอบความถูกต้องว่า เราอยู่ในสภาวะผู้ที่ติดกับความสมบูรณ์แบบหรือไม่ ต่อมาคือการทำความเข้าใจกับกระบวนการคิด และการทดสอบว่า ประสบการณ์ต่อการเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบและไม่สมบูรณ์แบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร จนสุดท้าย คือ การแสวงหาจุดร่วมและแนวทางการแก้ไขอย่างไรให้ตนเองได้พัฒนาและยกระดับศักยภาพที่เราเลือกได้ และภูมิใจกับตนเองเป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับเนื้อหาบางส่วนที่พยายามนำเอาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ในเล่มมาอธิบายชักชวนกันอ่านในยามที่ใจต้องการกำลังใจ ผมเองคิดว่า 245 บาทกับจำนวน 239 หน้า ราคาพอฟัดพอเหวี่ยงสำหรับคำท้าทาย ให้คนไม่เอาไหนลุกขึ้นมาจัดการตัวเองในแบบที่เป็นตัวของตัวเองได้แบบไม่ขืนใจนัก ผู้อ่านเคยได้ยินไหมครับ กับคำว่า การลงทุนเป็นตัวของตัวเอง มันยากกว่า การที่เราพยายามจะเป็นแบบคนอื่น ๆ หากท่านยังคิดว่า เราจะเป็นแบบคนอื่นแล้วสำเร็จแบบคนอื่นไปทำไม งั้นลุกมาจัดการตัวเองเสียก็สิ้นเรื่อง นี่ล่ะครับ เล่มนี้คือเพื่อนของท่าน และ ผมก็ได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อนเช่นกัน เขามอบให้ในวันที่ผมไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสอนนักศึกษาเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นทั้งของฝากและเป็นสิ่งที่ผมอยากจะฝากให้ทุกท่านได้อ่าน และหามาเสริมพลังกันนะครับแล้วขอให้โชคดี กับการเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบที่ใคร ๆ ก็อิจฉาตาร้อนสุดท้ายครับ คนจะเอาไหนหรือไม่เอาไหน ไม่ได้วัดว่า เราอ่านหนังสือหรือไม่ หากทว่า ผู้อ่านผ่านมาพบ เล่มที่ผู้เขียนแนะนำ ยังไงก็ตามแต่ ต้องได้รับความสุขในการพัฒนาตัวเองอย่างแน่นอน ซึ่ง สตีเฟน ไกส์ ตั้งใจที่จะนำเสนอ และเป็นหนังสือในเครืออัมรินทร์ ฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย ติดต่อที่เบอร์โทรศัพท์ 02 4229999 ต่อ 4964 ขอจบการรีวิว แค่นี้ก่อนนะครับผม สวัสดีจ้าภาพถ่าย หนังสือ โดยผู้เขียนเล่าเรื่องโดย ชาตรี ลุนดำขอขอบคุณ หนังสือที่ระลึกจาก ดร.สมิทธิรักษ์ จันทรักษ์ วิทยาลัยดุสิตธานี ด้วยครับ ขอบคุณที่มาของภาพประกอบปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 3