สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวทรูไอดีทุกท่านค่า วันนี้ผู้เขียนจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวกันที่วัดแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพมาก เดินทางเพียงแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง นั่นก็คือ .... “วัดสามพราน” ที่จังหวัดนครปฐมนั่นเองค่ะ ที่วัดแห่งนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่ “มังกรตะกายฟ้า” ตอนแรกผู้เขียนก็สงสัยเช่นกันค่ะ ว่าจะมังกรจะตะกายฟ้ายังไงกันนะ แต่พอไปถึงที่แล้วลงจากรถ ภาพแรกที่ผู้เขียนเห็นก็คือตึกสีชมพูตระการตาสูงสง่าที่มีมังกรพันรอบตัวตึก เรียกได้ว่าตระการตาจนอาการสะลึมสะลือหลังแอบงีบหลับหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน โดยตึกมังกรตะกายฟ้านี้มีความสูงถึงประมาณตึก 16 – 17 ชั้นเลยค่ะ จะเป็นทางเดินปูนทอดยาวเลย ซึ่งผู้เขียนจะพาเพื่อน ๆ เข้าไปเยี่ยมชมและขึ้นไปยันจุดสูงสุดของตึกนี้กันในช่วงท้ายนะคะ เรามาเยี่ยมชมบริเวณภายในวัดกันก่อนเลยค่า เพราะนอกจากตึกชมพูโดดเด่นแล้วยังมีอีกหลายจุดที่น่าสนใจมาก ๆ สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากจริง ๆ คืองานประติมากรรมต่าง ๆ เช่นจุดแรกที่ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชมก็จะมีรูปปั้นพญาช้างเผือกที่มีขนาดใหญ่มาก เป็นงานที่ละเอียดและสวยงามมาก เห็นมาแค่จุดสองจุดก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาแล้วค่ะ โดยมีตำนานว่าพญาช้างเผือกก็คือหนึ่งในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าค่ะ เป็นช้างเผือกที่สง่างามและเป็นผู้นำภายในโขลงช้าง วันหนึ่งท่านพาโขลงของการไปหาอาหารบริเวณต่างที่ออกไป ท่านได้พบเจอผลไม้ที่หวานอร่อย จึงนึกถึงมารดาที่ตาบอดของท่าน และคิดจะนำผลไม้เหล่านี้กลับไปให้มารดาตน ท่านจึงวานให้เหล่าบริวารนำผลไม้ไปให้มารดาของท่านก่อน เพื่อที่ท่านจะได้อยู่ดูแลโขลงช้างก่อน แต่บริวารกลับทานผลไม้กันเองเสียจนหมด เมื่อพญาช้างกลับมาและพบว่ามารดาตนยังไม่ได้ทานอะไรเลย จึงตั้งใจจะออกจากโขลงเพื่อที่จะได้ดูแลมารดาได้อย่างเต็มที่ พญาช้างพามารดาหนีออกจากโขลงในช่วงมืดและเดินทางพากันมาอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง พญาช้างให้มารดารอที่ถ้ำระหว่างที่ท่านจะออกไปหาอาหาร ระหว่างทางนั้นพญาช้างได้พบชายคนหนึ่งที่กำลังหลงป่า ท่านจึงอาสาพาชายคนนั้นออกจากป่า แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าพญาช้างเป็นช้างที่สวยงามและสง่ามาก จึงตั้งใจว่าเมื่อตนออกจากป่าไปได้แล้วนั้น ตนจะนำเรื่องไปทูลบอกพระราชา เนื่องจากตอนนั้นช้างมงคลของพระชาได้ตายลงไปพอดี คนในวังตามชายคนนั้นมาจนพบพญาช้างและจับพญาช้างเข้าวัง วังดูแลพญาช้างเป็นอย่างดี แต่พญาช้างกลับไม่ทานอะไรทั้งสิ้น เนื่องจากนึกถึงแต่มารดาตาบอดที่กำลังรอคอยตนอยู่ พระราชาเห็นจึงทูลถามพญาช้างว่ามีเรื่องใดที่เป็นกังวล พญาช้างจึงเล่าความเกี่ยวกับมารดาไป เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว พระราชาผู้ทรงธรรมจึงรับสั่งให้ปล่อยพญาช้างกลับไปดูแลมารดา พญาช้างจึงได้กลับมาหามารดาของตนเองและอยู่ดูแลปรนนิบัติมารดาเป็นอย่างดีตลอดมา จนเมื่อมารดาสิ้นอายุขัยลงไปแล้วนั้น พญาช้างก็กลับเข้าไปในวัง เพื่อที่จะถวายตัวเพื่อทรงงานให้แก่พระราชาตลอดไป ~ ใครที่เป็นพุทธศาสนิกชนนั้น รับรองว่าหากได้มาที่นี่แล้วจะรู้สึกคุ้มค่าทางใจมาก ๆ แน่นอนค่ะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ประติมากรรมชิ้นต่อไปก็คือการปั้นรูปแมวนั่นเองค่ะ แฮร่ !! .. ล้อเล่นนะคะ เจ้าตัวนี้คงเป็นเจ้าถิ่นค่ะ นอนกลางถนนเลยเชียวนะเธอ มนุษย์ทาสทั้งหลายก็ระมัดระวังจะไปเหยียบเจ้านายแมวกันด้วยนะคะ -//- - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน จุดต่อไปจะอยู่ใกล้ ๆ กับรูปปั้นช้างเลยค่ะ จะเป็นอุโมงค์พญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ จุดนี้ก็มีความโดดเด่นทางประติมากรรมไม่แพ้กันเลยค่ะ รายละเอียดลวดลายละเอียดสวยงามมาก รับประกันว่าใครชอบสายนี้ต้องถูกใจแน่นอนค่ะ มีตำนานเกี่ยวกับพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ว่าพญาเต่าเรือนนี้เป็นอีกหนึ่งในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเช่นกันนะคะ ซึ่งครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์นั้น ท่านก็ปฎิบัติธรรม จำศีล และอยู่อย่างสงบสุขบนเกาะแห่งหนึ่งตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีเรืออับปาง คนบนเรือจึงมาอาศัยอยู่บนเกาะ นาน ๆ วันเข้าอาหารเริ่มหมด คนเหล่านั้นเริ่มจะทำร้ายกันเอง พญาเต่าเรือนเห็นดังนั้นจึงตั้งใจที่จะสละชีพของตนเอง เพื่อที่จะช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านั้น โดยท่านตัดสินใจอธิษฐานจิตครั้งสุดท้ายและกลิ้งตัวมาจากเนินเขาสูงเพื่อสละชีพ กลุ่มคนเหล่านั้นจึงได้อาศัยกายและเนื้อของท่านในการประทังชีวิตให้อยู่รอด และนำกระดองที่มีขนาดใหญ่มากของท่านทำเป็นเรือเพื่อกลับบ้านเมืองของตนเอง แต่บางตำนานก็กล่าววว่าหลังจากนั้นมีเรือผ่านมาพอดี กลุ่มคนเหล่านั้นจึงสามารถรอดมาได้ ซึ่งเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นก็ยังรำลึกถึงบุญคุณและบุญบารมีของพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ จึงจัดทำรูปปั้นหรือรูปภาพต่าง ๆ ให้แก่พญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ เพื่อให้เป็นการระลึกถึงบุญบารมีและสืบทอดบอกเล่าเรื่องราวของท่านต่อไปค่ะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ข้างหน้าก่อนทางเข้าอุโมงค์จะมีกองหินเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งบังเอิญกลุ่มทริปของผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวจากแม่ชีท่านหนึ่งว่าเมื่อก่อนมีพระรูปหนึ่งท่านมาเหยียบ ๆ ก้อนหินบริเวณนี้ด้วยเท้าเปล่า ซึ่งหลังจากท่านเหยียบไปแล้วนั้น ปรากฏว่าพระรูปนั้นมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการปวดเมื่อยต่าง ๆ หายเป็นปลิดทิ้ง แม่ชีเลยแนะนำให้กลุ่มของผู้เขียนลองเหยียบ ๆ ดูค่ะ ผู้เขียนเลยไปร่วมแจมด้วย และเก็บมาเล่าสู่กันฟังให้เพื่อน ๆ ชาวทรูไอดีค่า ก็คงต้องใช้วิจารณญานส่วนบุคคลกัน แต่อย่างไรก็ไม่ได้มีความเสียหายอะไร ลองเหยียบเล่นเอาสนุก ๆ เหมือนมีอะไรมานวด ๆ จิ้ม ๆ เท้าก็สบายดีนะคะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ก่อนเข้าอุโมงค์มองซ้ายมาจุดธูปอธิษฐานกับพญาเต่าก่อนก็ได้นะคะ เพื่อความเป็นสิริมงคลและความสบายใจของแต่ละบุคคลดีค่ะ ใครที่กำลังตั้งใจขอพรในเรื่องใด ๆ ที่ปรารถนาอยู่ก็สามารถมาลองขอได้เช่นกันนะคะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ด้านในอุโมงค์จะค่อนข้างโล่ง ๆ นิดนึง มีจุดไหว้พระพุทธรูปหรือสิ่งต่าง ๆ อยู่สองสามจุด และที่เด่น ๆ สะดุดตามากก็คือกลองใบโต ๆ สองกลองนี่แหละค่ะ อธิษฐานก่อนตีกลองและตีกลองลงไปเลยค่า ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก อ๋อ ในใบข้างกลองมีเขียนไว้ว่า “หญิงตีซ้าย ชายตีขวา” ตอนแรกผู้เขียนก็งง ๆ นึกว่าหมายถึงให้ผู้หญิงตีมือซ้าย แต่สรุปว่าผู้หญิงให้ตีกลองใบที่อยู่ฝั่งซ้าย และผู้ชายให้ตีกลองใบที่อยู่ฝั่งขวานะคะ หากใครที่สนใจอยากประสบความสำเร็จหรือทำงานสายวงการบันเทิงและศิลปินก็ยิ่งพลาดการแวะมาตีกลองนี้ไม่ได้เลยนะคะ เพราะเท่าที่จำได้นั้นในป้ายคำแนะนำในการอธิษฐานมีการบอกไว้ด้วยค่ะว่ากลองใบนี้ช่วยให้โดดเด่นในด้านการเป็นนักร้องและศิลปินมาก ๆ ด้วยค่ะ ~ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน เราจะไม่เดินย้อนไปทางเดิมนะคะ จะเดินทะลุออกมาอีกฝั่งเลย ซึ่งขาออกก็จะเจอรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ภายในทางเดินของอุโมงค์ด้วยค่ะ แวะไปกราบไหว้หรืออธิษฐานขอพรกันได้เช่นกันค่า - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ก่อนที่เราจะกลับไปขึ้นตึกมังกรตะกายฟ้า แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าข้าง ๆ ตรงทางเข้าอุโมงค์พญาเต่าจะมีเป็นจุดให้กราบไหว้แม่ตะเคียนด้วยนะคะ แวะเข้าไปก่อนเข้าอุโมงค์ก็ได้ค่า และใกล้ ๆ บริเวณไหว้แม่ตะเคียนก็จะมีเป็นซากเรือเก่า ๆ ที่มีขนาดใหญ่มากอยู่สองสามลำด้วยค่ะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน เอาหละค่ะ หลังจากใช้พลังงานเดินดูทั่ววัดแล้ว ต่อไปได้เวลาเข้าสู่การใช้พลังงานที่เหลือให้หมดด้วยการขึ้นตึกมังกรตะกายฟ้าแล้วค่า ก่อนจะเข้าไปแนะนำว่าถ้าเพื่อน ๆ คนไหนตั้งใจว่าจะไปให้ถึงยอดบนสุดเลย ก็แวะซื้อบูชาผ้าแดงตรงทางเข้าตึกก่อนได้นะคะ เพราะด้านบนสุดเลยจะมีจุดให้ผูกผ้าอยู่ค่ะ เผื่อใครสนใจจะได้ไม่พลาดไป เพราะถ้าขึ้นไปถึงบนยอดดาดฟ้าแล้วอยากผูกผ้าแดงกะทันหัน ก็กลับลงมาซื้อไม่ทันแล้วนะคะ เพราะทุกคนจะเหนื่อยมากค่ะ ... - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ต้องขออภัยสำหรับภาพในอุโมงค์ด้วยนะคะที่มีความเบลอมาก .. เนื่องจากไม่ค่อยมีแสงและผู้เขียนหอบจนมือสั่นด้วยค่ะ ................... ทางเดินจะเป็นทางเดินปูนทอดยาวไปเช่นนี้ตลอดทางเลยค่ะ มีความชันเล็ก ๆ ตลอดทาง แต่แม้ชันเล็ก ๆ ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะคะ ชันเล็ก ๆ ไปตลอดทางนี่ก็เอาการเหมือนกันค่ะ ใครที่กลัวเหนื่อยก็พกน้ำพกอะไรไปก็ดีนะคะ แต่ก็ไม่ได้โหดขนาดนั้น เพราะระหว่างทางก็จะมีพัดลมตัวโต ๆ ตั้งอยู่เรื่อย ๆ เห็นมีคนพักเป่าพัดลมอยู่เรื่อย ๆ เช่นกัน ผู้เขียนก็เช่นกันค่ะ ... อ้อ และแนะนำอีกอย่างหนึ่งนะคะว่าถ้าใครมีถุงเท้าก็ใส่ถุงเท้าหรือพกถุงเท้ามาใส่เดินดีกว่าค่ะ เพราะต้องถอดรองเท้าก่อนเดินขึ้นมานะคะ ด้วยความที่เป็นทางเดินปูนและมีจุดที่นูน ๆ ขึ้นมาอยู่เยอะเหมือนกัน ทำให้รู้สึกเจ็บ ๆ เท้าอยู่บ้าง ขาเดินขึ้นไม่เท่าไหร่ค่ะ เพราะเดินช้าอยู่แล้ว แต่ขาเดินลงนี่สิคะ เจ็บทีละนิดจนชาเลยทีเดียว ..... - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน เห็นแล้วค่ะ แสงสว่างปลายทาง !! น้ำตาแทบจะไหลตอนเห็นแสงนี้ค่ะ จากความรู้สึกของผู้เขียนเองถือว่าทำเอาหอบไปพอตัวเหมือนกันค่ะ อาจไม่ได้โหดที่ความยาว แต่โหดที่เป็นทางชันขึ้นเล็ก ๆ ตลอดทางนี่แหละค่ะ เลยใช้พลังงานไปเยอะเหมือนกัน เอาหละ เดินไปตามทางกันต่อเลยค่า ~ มาตามทางเรื่อย ๆ ก็จะเจอจุดนี้ให้ไหว้เคารพบูชาได้เช่นกัน และมีจุดให้โยนเหรียญด้วยค่ะ มีคนมายืนโยนเหรียญกันอยู่เรื่อย ๆ ฟากผู้เขียนเองเลยลองบ้าง เพราะโดนกลุ่มทริปข่มขู่ว่าถ้าโยนไม่ลงจะไม่ให้กลับค่ะ แง้ .. ด้วยแรงฮึดทุกอย่างที่มี หลังจากโยนไม่ลงมาสองสามครั้ง พอโดนข่มขู่ปุ๊ป โยนลงทันใดเลยค่ะ ....... - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน โยนลงจนสบายใจแล้วเราก็ไปกันต่อเลยค่า ทางที่จะขึ้นไปจุดสูงสุดจะเป็นบันไดแบบนี้นะคะ ยังไงหากเป็นผู้สูงอายุหรือคนที่น้ำหนักค่อนข้างมากก็ระวังนิดนึงนะคะ รู้สึกว่าขั้นบันไดแอบบาง ๆ และแคบ ๆ ไปนิดนึงเหมือนกัน - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน แต่สุดท้ายเราก็ขึ้นมาจนถึงแล้วค่า ฮูเร่ !!! ชั้นดาดฟ้าถือเป็นชั้นที่ 17 ของตึกมังกรตะกายฟ้านะคะ หากไม่นับรวมดาดฟ้าก็จะมีอยู่ 16 ชั้น ซึ่งทางวัดต้องการสร้างให้มีจำนวน 16 ชั้นเพื่อเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชั้นพรหม 16 ชั้นนั่นเองค่ะ รับรองว่าถ้าใครขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ จะไม่เสียใจที่ได้ขึ้นมาแน่นอนค่ะ บรรยากาศดีมาก มองเห็นวิวได้ทั่วเลย และแม้จะเป็นช่วงเทศกาลแต่คนก็ยังไม่แน่นเกินไปค่ะ เดินหายใจหายคอสูดบรรยากาศได้สบาย ๆ เลย ต่อไปเราจะขอให้รูปภาพได้ทำหน้าที่อธิบายแทนความสวยงามและความคุ้มค่าในการขึ้นมากันนะคะ - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน หลังจากอิ่มเอมกับความสวยงามและภาพพาโรนาม่าเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับค่ะ ขาออกจะแวะมากราบไหว้บริเวณรอบ ๆ ตึกมังกรตะกายฟ้าอีกทีก็ได้นะคะ บริเวณรอบ ๆ จะมีพระพุทธรูปที่เป็นปางประจำวันเกิดอยู่ และถัดออกไปจากนั้นก็มีพระพุทธรูปอีกหลายองค์เลยค่ะ จัดตกแต่งได้อย่างสวยงามและตระการตาทุกที่เลย - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ได้เวลากลับกันแล้วค่า ขากลับก็ไปเจอเจ้านายแมวอีกแล้ว แหม มาส่งมนุษย์ทาสสินะคะ บ๊ายบายค่าเจ้านายแมว ทาสกลับก่อนน้าาาา - ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ใครที่สนใจจะไปเยี่ยมชมความสวยงามอลังการทางประติมากรรมต่าง ๆ และสนใจจะลองขึ้นตึกมังกรตะกายฟ้านั้น ก็สามารถแวะไปกันได้ที่วัดสามพราน จังหวัดนครปฐมนะคะ วัดตั้งอยู่ที่ตำบลสามพราน อำเภอสามพรานเลยค่ะ หากเดินทางไปจากกรุงเทพนั้นก็ถือว่าเป็นระยะทางที่ใกล้มาก ๆ ค่ะ สามารถไปเช้าเย็นกลับได้สบาย ๆ เลย ทางวัดเปิดให้เข้าได้ทุกวันเลยนะคะ แม้จะเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลต่าง ๆ ก็ยังถือว่าเป็นวัดที่ให้ความสงบและร่มรื่นมาก ๆ อยู่ค่ะ ใครที่ชอบบรรยากาศการทำบุญแบบสงบ ๆ นั้น พลาดการมาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้ไม่ได้เลยนะคะ สำหรับวันนี้ผู้เขียนคงต้องลาไปก่อน และจะพยายามหาโอกาสมาแบ่งปันประสบการณ์สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้ใหม่อีกครั้งในโอกาสหน้านะคะ สวัสดีค่า ~