ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่สมัยอดีต ด้วยชัยภูมิของประเทศที่มีแม่น้ำผ่านหลายสาย ทั้ง แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน มารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำรวก แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำแคว แม่น้ำบางประกง และอื่น ๆ ทั้งยังมีคูคลองที่แตกแขนงกันออกไปอีก การใช้ชีวิตของคนในอดีตจึงจะผูกพันกับสายน้ำเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนการสัญจรทางบกได้รับความนิยมมากขึ้น สะพานจึงถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น นับแค่แม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีสะพานข้ามมากมายหลายสะพานแล้วทั้ง สะพานมโนรมย์ สะพานธรรมจักร สะพานชัยนาท สะพานสรรพยา ที่ชัยนาท ไล่ไปถึง สะพานอินทร์บุรี สะพานบางระจัน ที่สิงห์บุรี ทั้งอ่างทอง อยุธยาเองก็มีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาหลายสะพาน รวมทั้งกรุงเทพฯ เองก็ด้วย ที่มีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาหลายที่ ทั้ง สะพานพระรามเก้า สะพานกาญจนาภิเษก สะพานกรุงเทพ และอื่น ๆ อีกหลายสะพาน แต่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะมาทำความรู้จักกันในวันนี้คือ สะพานเดชาติวงศ์สะพานเดชาติวงศ์ ถือว่าเป็นสะพานที่มีความน่าสนใจในหลายแง่มุม ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านความสะดวกในการคมนาคม การขนส่ง รวมทั้งการเป็นสัญลักษณ์ สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครสวรรค์ สะพานเดชาติวงศ์ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ หลักกิโลเมตรที่ 340 ของถนนพหลโยธิน เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2485 แล้วเสร็จพร้อมใช้ในปี พ.ศ.2493 โดยตั้งชื่อตาม ชื่อของท่าน พันตรี หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น ระยะต่อมาเมื่อมีการพัฒนาด้านการคมนาคมมากขึ้น จึงได้มีการสร้างสะพานเดชาติวงศ์ ขึ้นมาเพิ่มอีกหนึ่งสะพานในฝั่งขาล่อง เปิดใช้งานในปี พ.ศ.2514 และต่อมาในปี พ.ศ.2536 ก็มีการเปิดใช้ สะพานเดชาติวงศ์ เสริมอีกฝั่ง ในทางขาขึ้นเหนือ ซึ่งทั้งสองที่สร้างใหม่เป็นสะพานแบบธรรมดาไม่ได้ออกแบบโดดเด่นกลบ สะพานเดชาติวงศ์ดั้งเดิม ซึ่งในปัจจุบันการใช้งานจะใช้ สะพานที่สองและสามเป็นหลัก ส่วนสะพานเดิมจะเปิดให้ใช้ในช่วงเทศกาลที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นครั้งคราวสะพานเดชาติวงศ์ นอกจากจะช่วยเรื่องความสะดวกในการเดินทางแล้ว การออกแบบที่สวยงามโดดเด่นก็ถือเป็นอีกส่วนที่ทำให้สะพานเดชาติวงศ์ เป็นที่รู้จัก และในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ เช่นตรุษจีนซึ่งถือเป็นงานสำคัญของชาวนครสวรรค์ สะพานเดชาติวงศ์จะถูกประดับตกแต่งให้สวยงาม ทั้งลวดลาย สีสัน ที่ใครผ่านมาก็จะรู้สึกได้ว่างานตรุษจีนต้องได้บรรยากาศแบบนี้ สะพานเดชาติวงศ์ยังถือได้ว่ามีพิกัดที่น่าสนใจ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง ภาคกลาง กับภาคเหนือ ถ้าใครที่ผ่านจะเห็นว่ามีป้ายบอกจุดสิ้นสุดระหว่างภาคกลางกับภาคเหนืออยู่ที่สองฝั่งของทางขึ้นสะพาน และสะพานเดชาติวงศ์ ยังเป็นจุดที่เหมาะกับการชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งของจังหวัดนครสวรรค์ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก ที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์จะยิ่งเห็นความสวยงาม ของน้ำที่เต็มตลิ่งสะท้อนแสงแดดสีทองในยามเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน และสะพานกลางซึ่งเป็นสะพานเดชาติวงศ์ดั้งเดิมซึ่งปกติจะปิดการจราจรจึงกลายเป็นสถานที่เช็คอิน ถ่ายรูปเดินเล่นเก็บรรยากาศแบบเก๋ ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งถ้าใครเคยเดินทางขึ้นเหนือผ่านการสัญจรทางบก ก็คงจะคุ้นเคยกับสะพานเดชาติวงศ์ เป็นอย่างดี ถ้าเห็นก็คือถึงนครสวรรค์แล้ว ซึ่งแม้ปัจจุบันนครสวรรค์จะมีการทำเส้นทางใหม่เป็นสายเลี่ยงเมืองทำให้สามารถเดินทางขึ้นเหนือได้แบบไม่ต้องผ่านเข้าเมือง ไม่ต้องมาขึ้นสะพานเดชาติวงศ์ แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะเดินทางผ่านสะพานเดชาติวงศ์ เพื่อเข้าเมือง อาจจะด้วยความคุ้นเคย หรือตั้งใจแวะหาของกินอร่อย ๆ ของฝากดี ๆ ไปฝากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงด้วย และไม่ว่าใครจะเดินทางไปไหนก็ขอให้ปลอดภัย ไม่ประมาท แต่ถ้าผ่านมาทางนครสวรรค์ อย่าลืมเก็บบรรยากาศดี ๆ ที่สะพานเดชาติวงศ์ บทสรุปแห่งสะพานเดชาติวงศ์ จึงเป็นมากกว่าแค่สะพานที่ใช้แค่ข้ามไปมา แต่นี่ถือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเจริญทั้งในทาคเทคโนโลยี การก่อสร้าง ความมีวิสัยทัศน์ของผู้ที่มีส่วนในการก่อสร้าง การมีรสนิยมในการออกแบบ ทำให้สะพานนี้โดดเด่นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภาพประกอบโดยผู้เขียนเอง