อื่นๆ
ชิงนรก

ชิงนรก
ศาสนาแต่ละศาสนาย่อมมีศาสดาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาและองค์ศาสดาเหล่านั้นได้พร่ำสอนให้ทุกคนประกอบแต่กรรมดี ไม่มีศาสนาใดในโลกที่สอนให้สาวกกระทำความชั่ว แต่ก็มีบางกลุ่มบางพวกที่พยายามแบ่งแยกศาสนาของตัวเองโดยการสั่งสอนผู้คนในทางที่ไม่ถูกต้องจนกลายเป็นลัทธิใหม่ขึ้นมา ผู้นำลัทธิมักจะอวดอ้างสรรพคุณในการปฏิบัติร่วมกันเป็นหลักพร้อมกับคุยอวดอ้างบุญญานุภาพปาฏิหาริย์ในรูปแบบต่าง ๆ โดยให้ผู้คนสนใจยิ่งขึ้น
Advertisement
Advertisement
เมื่อได้รับความสนใจจากผู้คนขึ้นเท่าไหร่ก็อ้างโน่นอ้างนี่ด้วยการหว่านล้อมชวนเชื่อต่าง ๆ นานา บางคนทำงานแทบตายพอได้เงินมาแทนที่จะเก็บเอาไว้ใช้ในวันข้างหน้าเพื่อจะเกิดประโยชน์กับตนเองก็กลับเอาไปให้เจ้าลัทธิเสียหมด ลัทธิบางลัทธิที่แตกแยกมาจากศาสนาหลักถึงกับกำหนดวันตายของแต่ละคนเอาไว้ซึ่งก็มีทั้งการฆ่าตัวตายแบบหมู่แบบกลุ่มด้วยการซดยาพิษหรือมีวิธีแตกต่างกัน เจ้าของลัทธิเองกลับไม่กำหนดวันตายของตนเพราะผู้คนที่ฆ่าตัวตายไปแล้วไม่อาจรับรู้อะไรได้ เจ้าของลัทธิอุบาทธ์ต่างก็ร่ำรวยกันอย่างถ้วนหน้า ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธโดยมีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา
Advertisement
Advertisement
หลักธรรมคำสอนมุ่งให้ทุกคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะเป็นเมืองพุทธแต่ประชาชนคนไทยก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกนับถือศาสนาที่ตนชอบโดยมีองค์ประมุขหรือผู้นำศาสนาแต่ละศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จะนับถือศาสนาใดต่างก็คือคนไทยด้วยกัน พึงปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบขอบเขตของศาสนาและหมั่นทำบุญบำรุงศาสนาให้รุ่งเรืองแล้วจะประสบแต่ความผาสุกตลอดไป นั่นคือคำอบรมสั่งสอนของหลวงพี่จรัญที่มีต่อผมในเย็นของวันหนึ่ง คืนนั้นเป็นคืนที่ผมได้นอนอย่างเต็มที่ พอตื่นเช้าก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าลุกขึ้นออกกำลังกายด้วยท่าบริหารกายแบบง่าย ๆ จนข้อเอ็นข้อกระดูกลั่นกรอบ หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เก็บเครื่องหลับนอนจนเรียบร้อย จากนั้นก็เดินตามหลวงพี่ที่อุ้มบาตรรออยู่ก่อนแล้ว หลวงพี่ออกบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านที่ทุรกันดาร
Advertisement
Advertisement
ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นภักษาหารจึงไม่อุดมสมบูรณ์เท่าที่ควร พอบิณฑบาตได้ครึ่งบาตรก็เดินเลี่ยงไปทางอื่นจนออกสู่ถนนใหญ่ กระนั้นการเดินทางก็ยังดำเนินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาที่เหมาะ ๆ พัก ระหว่างที่ก้าวเท้าอยู่นั้นก็มีพระกับเณรสวนทางมาพร้อมด้วยข้าวของที่พะรุงพะรัง หลวงพี่หลีกทางให้เพราะเห็นว่าพระรูปนั้นแก่กว่า “ไม่หยุดพักก่อนหรือพระ” หลวงตาทัก หลวงพี่จรัญเลยต้องหยุดก้าวเดิน หลวงตาชวนเข้าพักใต้ร่มไม้ข้างทางพร้อมกับเดินไปก่อน ผมมองหลวงพี่แต่ไม่กล้าถาม ในที่สุดหลวงพี่ก็ก้าวตามพระเณรเข้าไปนั่งที่ต้นไม้ ผมเลยต้องเดินตามเข้าไปก็คิดว่าเสื่อที่เณรปูให้แล้วนั่งยิ้มมองดูผมกับหลวงพี่เกินที่จะคาดเดา หลวงตาประคองบาตรวางลงกับเสื่อที่ปูให้แล้วนั่งยิ้มมองดูผมกับหลวงพี่เกินที่จะคาดเดา
ผมปูเสื่อให้หลวงพี่เสร็จก็ออกเดินหาเศษไม้แห้งเพื่อจะได้ก่อไฟต้มน้าซึ่งเป็นกิจที่ผมต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกเช้าและเย็น พอกลับมาก็เห็นหลวงตากับเณรน้อยนั่งเทภักษาหารออกจากบาตรอย่างเชื่องช้า ข้าวแยกไว้ส่วนหนึ่ง กับข้าวที่เป็นของแห้งก็แยกไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนพวกแกงพวกผัดก็แยกไว้ต่างหากไม่ปะปนกัน ผมรีบก่อไฟต้มน้ำชาไม่ได้สนใจพระเณรเท่าใดนักเพราะเพิ่งพบกันเป็นวันแรกจึงไม่รู้จะถามทุกข์สุขยังไง ปกติหลวงพี่ฉันคือประมาณ 10 ถึง 11 โมงหรือเพลแต่หลวงตาชวนให้ฉันพร้อมกันจึงเอาด้วยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึง 9 โมงด้วยซ้ำ หลวงพี่เลื่อนบาตรให้ผมจัดการโดยผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันอยู่ในก้นบาตรจนเขลอะไปหมด หลวงตามองหลวงพี่จรัญกับผมแล้วถามขึ้น “พระฉันอย่างนี้ไม่สะอิดสะเอียนแย่หรือ” “ผมปฏิบัติอย่างนี้ทุกครั้งที่ออกธุดงค์ขอรับหลวงตา”
หลวงพี่ว่าแล้วรับเอาบาตรจากผม หลวงตาทำท่าสะดุ้งนิด ๆ “แสดงว่าพระบวชนานแล้วละสิ” “บวชเณรเมื่ออายุ 10 ปีไม่ได้ทิ้งผ้าเหลืองเลยครับหลวงตา” “ดีกว่าผมอีกนะนี่” “ยังไงหรือครับหลวงตา" “ผมเพิ่งบวชได้ไม่ถึงสองพรรษาน่ะสิ” หลวงตาว่าแล้วทำท่ายำเกรงหลวงพี่จรัญของผมนิด ๆ “หลวงตามาจากในเมืองหรือขอรับ” “ผมมาจากต่างจังหวัดนะครับ” เสียงของหลวงตาต่างถิ่นมีน้ำเสียงขึ้นมาบ้าง “ ออกธุดงค์ทำใจให้สงบแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ก็ดีเหมือนกันนะครับ “ก็เพราะอย่างนี้ แหละผมถึงได้มาที่นี่” “ที่โน่นไม่ดีหรือครับ” หลวงพี่ถามหลวงตายกจานข้าววางบนฝาบาตรมือข้างหนึ่งจับช้อนอีกมือหยิบโน่นหยิบนี่ใส่ในจานแล้วลงมือฉันอย่างหน้าตาเฉย เณรน้อยที่มาด้วยก็พลอยเอาตามไปด้วยเช่นกัน พอฉันได้ 3-4 ครั้งก็หันมาถามหลวงพี่ “ไม่ฉันเสียละ” หลวงพี่หยิบช้อนแล้วตักคำข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างสำรวม “เมื่อกี้พระถามว่าอะไรนะ” ผมเห็นหลวงพี่ออกจะกระอักกระอ่วนไม่น้อยเพราะเวลาฉันท่านไม่ค่อยสนทนากับญาติโยมเท่าไหร่นัก “ผมถามว่าว่าที่โน่นไม่ดีหรือขอรับ” ผมเอาน้ำชาไปให้หลวงพี่และหลวงตาพร้อมเณรน้อย พอหลวงตาเห็นเข้าก็ทักผมทันที “เอานี้ดีกว่าอร่อยได้รสชาติกว่าน้ำชาเป็นไหน ๆ “ หลวงตาว่าแล้วก็ล้วงเอากระป๋องน้ำอัดลมออกมาจากย่าม แล้วเปิดสลักจนน้ำอัดลมกระฉอก จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มหน้าตาเฉยไม่เหลือเผื่อแผ่หรือชวนแม้สักคำ “มาที่นี่ก็ดีอย่างนี้แหละ อยากกินอะไรก็บอกโยมเขา เอาเป็นได้กินท้องอิ่มไม่เหมือนที่โน่นอยากกินอะไรก็ไม่ได้กินเวลาบิณฑบาตรมีแต่ข้าวอาหารหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทธเสียอีกนะ”
หลวงตาว่าเป็นต่อยหอย หลวงพี่กับผมพากันสะดุ้งแต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ เมื่อหลวงพี่ลงมือฉันอาหารอย่างสำรวมไม่นานก็เลื่อนบาตร ส่วนหลวงตาก็ฉันไปเรื่อยขณะที่เณรน้อยรวบช้อน ผมเอาข้าวก้นบาตรใส่จานแล้วลงมือกินทันที หลวงตาบอกให้เณรน้อยที่มาด้วยกันเก็บอาหารที่เหลือเอาไว้ฉันตอนเพลซึ่งเณรน้อยก็ทำตามทุกอย่าง ผมอิ่มข้าวก็ทำความสะอาดบาตรแล้วเอาผ้าเช็ดจานไปกองรวมกับเครื่องบริขารของหลวงพี่ เมื่อเห็นท่าไม่ดีทางหลวงพี่ก็รีบกราบลาหลวงตารูปนั้นแล้วเดินทางต่อ ผมมองก็พอจะทราบความรู้สึกของหลวงพี่อยู่บ้างว่าทำไมท่านถึงต้องการกราบลาหลวงตาเสียก่อนเวลาอันควรเช่นนี้ ภาพของผู้อยู่ในสมณเพศเมื่อครู่ยังติดตาไม่หาย ไม่มีความสำรวมสักนิดแต่อ้างปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้ แม้แต่เรื่องภักษาหารก็ยังเอ่ยปากขอเอากับชาวบ้าน ไม่มีความสำรวมสักนิด บิณฑบาตได้มาก็ขบฉันเฉพาะของตัวไม่เอื้ออาทรกับผู้อื่น เวลาฉันก็พูดกล่าววาจาไปในสิ่งไม่สมควรสำหรับผู้ครอบผ้าเหลืองบวชไปก็แค่นั้น ยิ่งนานไปยิ่งทำให้ศาสนามัวหมอง ชาวบ้านไม่ทราบก็พากันกราบไหว้หวังพิ่งใบบุญ ห่มผ้าเหลืองแต่ไม่ครองตัวอยู่ในสมณเพศไม่รู้จะห่มผ้าไปทำไมมีแต่จะทำให้ศาสนามัวมองมีมลทิน ก็สมควรออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสจะดีกว่า
ความคิดเห็น
