พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นวีรบุรุษของชาติที่ประชาชนรู้จักดีที่สุด ดูเหมือนมีศาลเทพารักษ์และอนุสาวรีย์ที่อุทิศแก่พระองค์มากกว่าอดีตมหาราชทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย แต่พระราชประวัติก่อนเสวยราชย์ของพระองค์กลับมืดมนไปด้วยนิทานเชิงอภินิหารข้อความข้างต้นจากหนังสือ "การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ น่าจะเป็นข้อความที่บ่งบอกความเคารพนับถือ กระทั่งสักการะของประชาชนชาวไทยที่มีให้ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือที่เรามักเรียกติดปากว่า "สมเด็จพระเจ้าตากสิน" ได้เป็นอย่างดี เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่กู้ชาติกู้บ้านกู้เมืองให้กลับคืนมาเป็นกรุงธนบุรี แล้วจึงมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันเรียกว่าได้อาจจะมีชาติไทยอย่างที่เป็นทุกวันนี้ไม่ได้เลย หากเมื่อคราวสิ้นกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ทรงนำกองกำลังของพระองค์กลับมากู้บ้านเมือง(คลองอ้อมนนท์)โดยในห้วงเวลานั้น เส้นทางในการหลบหนีกองทัพพม่า รวมถึงเส้นทางในการเล็ดรอดสายตาของทหารพม่าเพื่อกลับเข้ากรุงศรีอยุธยานั้น มักใช้เส้นทางเดินเรือเป็นหลัก พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเกณฑ์ไพร่พลของพระองค์ นำกำลังล่องมาทางเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า ซึ่งปัจจุบันคือ คลองบางกรวย จนมาหยุดยังหน้าวัดสัก บริเวณริมคลองอ้อมนนท์ในปัจจุบัน หลังทอดพระเนตรเห็นต้นสักจำนวนมากพอให้เป็นที่ร่มเงาได้เมื่อกองกำลังของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นจากเรือมาหยุดพักยังบริเวณใต้ต้นสัก ตามธรรมเนียมปฏิบัติภายในกองทัพจะต้องมีธงประจำทัพ หรือธงประจำตัวของแม่ทัพ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงสั่งให้นำธงประจำทัพของพระองค์ปักลงบนกองทรายแล้วนำหินมากองไว้ที่ฐานให้มั่นคง ไม่ให้ธงล้ม โดยธงนี้เป็นทั้งสัญลักษณ์ของจุดนัดหมายให้กับกองเรือที่ตามมา และเป็นเอกลักษณ์ว่าเป็นที่ตั้งของพลรบภายใต้พระเจ้ากรุงธนบุรี แม่ทัพนายกอง รวมถึงไพร่พลจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "เสาธงหิน" (บริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นกองหินที่นำเสาธงประจำกองเรือพระเจ้าตากสินมาปักไว้)โดยขณะที่ทรงประทับอยู่ใต้ร่มสักนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพชำรุดทรุดโทรมของวัดสัก อันเป็นชื่อมาจากต้นสักที่ขึ้นอยู่จำนวนมาก ทรงมีพระราชดำริที่จะกลับมาฟื้นฟูให้งดงามเพื่อเป็นพุทธบูชา ดังนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการศึก พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ทหารเอกที่ชื่อ "อำดำดิ่ง" ให้เดินทางไปยังตำบลกระจิว ปัจจุบันคือตำบลภาชี จังหวัดอยุธยา ให้รวบรวมกำลังคนและกำลังทรัพย์เท่าที่จะหาได้กลับมาก่อสร้างวัดที่ทรุดโทรมให้กลับมาสมบูรณ์งดงามดั่งที่เคยเป็น พร้อมกับให้สร้างพระประธานและพระสาวก คือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ขึ้นใหม่ด้วย เพื่อพระภิกษุสงฆ์จะได้ใช้ในกิจพระพุทธศาสนา(ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ภายในวัดเสาธงหิน)ซึ่งไพร่พลหรือชาวบ้านในบริเวณวัดสักที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยรบในคราวกู้ชาติก็เข้าร่วมกับอำดำดิ่งในการบูรณะปฎิสังขรณ์วัดสักเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่ง ณ.ที่แห่งนี้เคยเป็นจุดนัดหมายของกองทัพพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือที่เรียกกันว่า"จุดหมายเสาธงหิน" จนกลายเป็นคำเรียกติดปากแทนชื่อวัดสักเดิม ว่า "วัดเสาธงหิน" ในที่สุดต่อมาเมื่อมีการจัดระบบปกครองทางการเมืองก็ให้ชื่อว่า "ตำบลเสาธงหิน" ส่วนวัดเรียกว่า "วัดเสาธงหิน" ถึงปัจจุบัน(ภาพทางเข้าวัด)การได้รับรู้ว่าในละแวกตำแหน่งแห่งที่ที่อาศัยอยู่มีประวัติศาสตร์ มีเรื่องราวที่ผูกโยงกับความสำคัญของชาติ บ้านเมือง แน่นอนว่าย่อมให้ความรู้สึกภูมิใจ แต่ขณะเดียวกัน ทำให้ผู้เขียนได้รำลึกว่าก่อนหน้านี้ ประเทศเราเคยเป็นเช่นไร ซึ่งความตั้งใจที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวของวัดเสาธงหินกับเส้นทางเดินเรือของพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงไม่ได้มีแค่หมุดหมายให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังหวังให้ผู้ที่ได้อ่านได้เชื่อมโยงเรื่องราวของมหาราชพระองค์หนึ่งที่ประชาชนชาวไทยแทบไม่รู้จักพระองค์นอกจากบทบาทในฐานะกษัตริย์กู้ชาติหวังให้การตามรอยกลายเป็นการตามต่อเพื่อเรียนรู้พระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเหมือนที่นิธิ เอียงศรีวงศ์ ได้เขียนไว้ในคำนำว่างานศึกษาชิ้นนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยความศรัทธาและชื่นชมที่มีอยู่ในส่วนลึกของสำนึกดังกล่าว เวลาที่ใช้ในการค้นคว้าศึกษาหลักฐานและครุ่นคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของพระองค์เป็นเวลานานกว่า ๕ ปี ทำให้ทัศนคติของข้าพเจ้าต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม แต่เป็นไปในทางที่ลึกขึ้น จนมองเห็น (หรือคิดว่ามองเห็น) ทั้งความอ่อนแอและความเข้มแข็งของพระองค์ มีความสามารถที่จะชื่นชมพระองค์ในฐานะมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่...ภาพประกอบ โดยผู้เขียนข้อมูลช่วงต้นและช่วงท้ายจากหนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้เขียนขอขอบคุณ