โฮ่ง โฮ่ง โฮ่งเสียงร้องของเพื่อนซี้ (ที่เคยมี) สี่ขาดังก้องกังวาลทั่วพื้นที่มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ปากเกร็ด ราวกับเป็นคำทักทายที่กำลังบอกเราว่า “สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนะจ้ะ” ให้กับผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้การเดินทางมาเที่ยวมูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ (ในความอุปถัมภ์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) มูลนิธิดูแลสัตว์พิการไม่มีเจ้าของซึ่งมีผู้คนแวะเวียนมาเที่ยว มีคนรีวิวถึงมากมาย และฉันเป็นหนึ่งในนั้นที่อยากจะเรียงร้อยเรื่องราวที่ฉันพบเจอ พร้อมกับย้ำว่า นี่ไม่ใช่การรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นบันทึกการเดินทางของบัตเตอร์ คัตเตอร์ (Butter Cutter) ที่จะพาคุณผู้อ่านออกเที่ยวผ่านตัวอักษรและภาพถ่าย ราวกับเป็นตัวอย่างหนังสั้น ๆ เพื่อให้คุณตัดสินใจก่อนออกเดินทางเพียงเท่านั้นแพ้ (ขนสัตว์) แต่ไม่เคยยอมแพ้ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผู้เขียนเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ ทุกครั้งเมื่อได้คลุกคลีกับเพื่อนซี้สี่ขาเหล่าน้องหมาน้องแมวทีไร เป็นต้องจามจนน้ำมูกไหล คันจมูก และคันคอไปหมด แต่ฉันไม่เคยยอมแพ้ตามโรคภูมิแพ้เลยนะ เพราะทุกครั้งมีเวลาว่างก็จะแวะมาส่งมอบของใช้จำเป็น อาหารสัตว์เลี้ยง รวมทั้งไม่พลาดที่จะบุกเที่ยวบ้านแมว เล่นกับแมว อยู่กับแมว แต่ถึงจะมาบ่อยแค่ไหน ฉันไม่เคยแวะเข้าไปในโซนบ้านน้องหมาปากเกร็ดแม้แต่ครั้งเดียว มันก็แปลก ๆ ดีนะ ทั้งที่ตัวฉันเองเคยรับเลี้ยงน้องหมาจรจัดมาหลายตัว กลับไม่กล้าเดินเข้าไปทักทายโซนบ้านน้องหมาปากเกร็ดที่ทุพพลภาพพิการขาหลังที่อาศัยอยู่นับร้อยชีวิต คงต้องยอมรับแบบตรงไปตรงมาเลยว่า “ฉันกลัว” อาจเป็นเพราะเสียงเห่าดังระงม รวมทั้งท่าทีการพุ่งทะยานดีดเด้งดึ่ง ๆ ของน้องหมาพิการขาหลังที่นั่งอยู่ในกรงแบบเปิดโล่ง ยิ่งบางตัวมีป้ายติดที่กรงว่า “สุนัขดุ” ทำให้ฉันไม่กล้าจะยื่นมือไปลูบ ทำได้เพียงเดินผ่านโซนมะหมาแบบเงียบ ๆ ตัวลีบเล็ก พร้อมกับโบกมือทักทายได้เพียงแค่นั้นปล. ไม่ต้องกลัวน้องหมาจะกัดหรือทำร้ายนะคะ เพราะมีเจ้าหน้าที่ดูแล เพียงแค่เราอย่ากวนใจ หรือแหย่สุนัขที่มีป้ายดังกล่าวก็เพียงพอแล้วจ้าเปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้าแต่ครั้งนี้เปลี่ยนไปจากเดิม ฉันเลือกที่จะท้าทายตัวเองด้วยการเดินเที่ยวโซนบ้านน้องหมาปากเกร็ดเป็นอันดับแรก ราวกับเป็น Challenge for my life with my style. ใจที่กล้าพร้อมขาที่สั่นเดินตรงปรี่ พร้อมกับกระเป๋าสะพายข้าง และกล้องคล้องคอพร้อมถ่ายภาพที่ฉันพบเห็นมาเล่าให้ฟัง เมื่อฉันเดินหน้าหนึ่งก้าว น้องหมาก็เห่าหนึ่งโฮ่ง เดินถอยหลังหนึ่งก้าว น้องหมาก็เห่ารัว ๆ ราวกับเป็นเสียงกลองชุด เชื่อว่าใคร ๆ เห็นคงก็ต้องคิดว่า ฉันคงกำลังออกสเต็ปเต้นลีลาศจังหวะ ช่ะ ช่ะ ช่า กับเหล่าน้องหมาพิการอยู่แน่นอน อืม แล้วแบบนี้ฉันต้องทำยังไงดีล่ะเนี๊ยะถึงจะได้ตีซี้กับน้องหมา ?ยิ้มละมุนละไมอยู่ในทุกตอนแต่แล้วความรักก็ช่วยเติมเต็มให้ฉันรวบรวมความกล้า วางใบเบิกทางด้วยการขออนุญาตยกมือถือขึ้นเซลฟี่กับน้องหมา แทนคำทักทายแบบฉบับเบื้องต้น แหะ ๆ ดูเหมือนการฉีกยิ้มกว้างของเราจะไม่ช่วยอะไร เพราะน้องหมาก็ส่งยิ้มพร้อมเขี้ยวสวย ๆ กลับมาหาเราเหมือนกัน โอ้ย รอยยิ้มของน้องหมาช่างบาดใจยิ่งนัก ซึ่งดูภาพรวมแล้วรอยยิ้มของพวกเขาอาจจะกำลังสื่อคนละความหมายกับมนุษย์อย่างเราก็เป็นได้ ยิ้มมายิ้มกลับฉันไม่ถอดใจหรอกนะขณะที่เราเช็กภาพเซลฟี่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหลุดเข้าเฟรมเรามาพอดิบพอดี เล่นกับน้องหมาแบบสนิทชิดเชื้อ เราไม่พลาดที่จะทำความรู้จักคุณหน่อง และได้รู้ว่า เธอคนนี้แฟนพันธุ์แท้ผู้รักน้องหมาเป็นชีวิตจิตใจ และมาเยือนบ้านน้องหมาปากเกร็ดไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง พร้อมกับขนมสุนัขถุงโตคุณหน่องกำลังป้อนขนมให้น้องฉันขอเดินตามคุณหน่องเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจเหล่าน้องหมาในมูลนิธิแห่งนี้ และได้รับรู้ว่า น้องหมาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกรถยนต์ทับขาหลังจนพิการใช้งานไม่ได้ เหลือเพียงสองขาหน้า บางตัวร้ายแรงถึงขั้นไส้สีแดงปลิ้นออกด้านนอกลำตัว ยิ่งทำให้น้องหมามีความเครียดจากเจ็บป่วยที่มีอยู่ บวกกับความกลัวที่พวกเขาเคยโดนทำร้ายและโดนคนเลี้ยงทอดทิ้งมาก่อน จึงไม่แปลกที่น้องหมาจะแสดงอาการไม่คุ้นชินกับคนไม่คุ้นเคยอย่างฉัน รู้ไหมว่าสุนัขที่นี่เคยมีเจ้าของมาแล้วทุกตัวนะ ลองคิดดูสิขนาดคนอย่างเราโดนทิ้งยังเจ็บขนาดนี้ แล้วน้องหมาโดนทิ้งเขาจะเจ็บขนาดไหน เราโดนทิ้งยังมีที่ไป แต่เค้าไม่มีใคร เราต้องมา ช่างเป็นประโยคหนึ่งที่คุณหน่องพูดแล้ว บาดใจคนฟังอย่างเราเป็นอย่างมาก เริ่มทำความรู้จักกันใหม่เมื่อเข้าใจทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ฉันกล้าที่จะเข้าใกล้น้องหมามากขึ้น เริ่มแรกก็ลุยลงพื้นที่ตีซี้ขอรู้จักมะหมาไร้ป้ายสุนัขดุก่อนเป็นอันดับแรก แต่ฉันก็ไม่กล้าลูบหัวน้องหมาอยู่ดีแหละ ถึงแม้ว่าน้องน้ำตาลสุนัขตัวแรกที่สบตากับฉัน และด้วยความที่น้องน้ำตาลมีความละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขที่ฉันเคยเลี้ยงที่ชื่อว่า โค้ก ซึ่งตอนนี้เจ้าโค้กหนีไปวิ่งเล่นบนดาวหมาแล้ว ฉันลองยื่นมือ น้องหมายื่นหน้า ฉันดึงมือกลับเข้าหาตัว เพราะเริ่มรู้สึกกลัวอีกแล้ว แต่คุณหน่องก็บอกฉันว่า ยื่นมือเข้าไปลูบหัวน้องหมาได้เลย และห้ามชักมือกลับเด็ดขาด เพราะน้องหมาจะเข้าใจผิดคิดว่าเราจะทำร้ายเขา อีกครั้ง...ฉันรวบรวมความกล้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมกับยื่นมือออกไปตรง ๆ ลงบนขนนุ่ม ๆ ของเจ้าน้ำตาล ในที่สุดฉันก็ทำได้ ฉันตีซี้กับเจ้าน้ำตาล หมายเลข 54 เป็นที่เรียบร้อยรู้จักตัวแรกก็ต้องรู้จักตัวถัดไปเริ่มรู้สึกสนุกแล้วสิกับการตีซี้น้องหมาหน้าใหม่ ฉันเริ่มทำความรู้จักเรื่อย ๆ พร้อมกับถ่ายภาพโดยรอบด้วยความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งต่อจากนี้ฉันขอเล่าจากภาพถ่ายน่าจะอธิบายดีที่สุดตามองตาสายตาก็จ้องมองกันหนึ่ง สอง ซั่ม เรายิ้มพร้อมกัน อยากจะขอลูบหน่อยนะ ลูบหน่อยนะอ้อนมากมายเย้ ฉันได้รู้จักกับน้องโซดา หมายเลข 178 น้องโซดาพร้อมอ้อนพี่ ๆ แล้วจ้าน้องนวลของพี่ถึงขาไม่ครบแต่น้องขาวก็พกความรักมาเต็มเหนี่ยวออดอ้อนอย่างเต็มพลัง พร้อมกับสายตาหวานเชื่อมให้เราใจละลายเปิดโหมดซูมความรักแบบใกล้ ๆ น้องนำโชคขอกินขนมก่อนนะครับต้องกลับแล้วนะก่อนจบเรื่องนี้... ผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้พาน้องหมาน้องแมวพิการหรือเจ็บป่วยมาทิ้งไว้ที่นี่นะคะ อยากให้พวกเรามาช่วยดูแล แบ่งปันความสุขให้กันและกันมากกว่า หากคุณเป็นอีกคนที่รักสัตว์ และไม่สามารถเลี้ยงไว้ที่บ้านหรือคอนโดได้ การมาเที่ยวมูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ปากเกร็ด ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเหล่าน้อง ๆ รอคอยให้พี่ ๆ มาเติมเต็มความรักอยู่นะระหว่างที่ฉันเดินออกมาจากบ้านน้องหมาปากเกร็ด ฉันยังได้ยินเสียงเห่าที่ดังสนั่นเช่นเคยเหมือนตอนที่เดินเข้ามา ในใจก็พลันนึกไปเองว่า น้องหมาคงกำลังกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” พร้อมกับบอกผู้มาเยือนว่า “แล้วแวะมาอีกนะ หนูจะรอ” ขอบคุณสถานที่ : มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ (ในความอุปถัมภ์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) 15/1 หมู่ 1 ซ.พระมหาการุณย์ 25 ถ.ติวานนท์-ปากเกร็ด 56 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120