สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขอถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์การคลอดลูกแบบธรรมชาติ โดยขออนุญาตใช้สรรพนามแทนตนเองว่า "แม่โบว์" เพื่อความลื่นไหลในการอ่านและได้อารมณ์อบอุ่นในการบอกเล่าประสบการณ์ตรงเพื่อให้ "คุณแม่มือใหม่" หรือผู้อ่านท่านอื่น ๆ ได้มองเห็นอีกบทบาทหนึ่ง หรือมุมหนึ่ง ของจุดเริ่มต้นคำว่า "แม่" ให้ได้รับทราบกันนะคะ และก่อนอื่นต้องขอแสดงความดีใจกับ "ว่าที่คุณแม่" ทุกท่านที่กำลังตั้งครรภ์ หรือบางท่านใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว ด้วยนะคะ ขอให้คุณแม่และเบบี๋แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อจะได้เจอกันสักทีนะ "สำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้า" แต่ทำให้แม่สามารถรักเจ้าได้อย่าง "สุดหัวใจ" การคลอด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณแม่หลายคนกำลังวิตกกังวล ว่าจะเลือก "คลอดธรรมชาติ" หรือ "ผ่าคลอด" ดี??? ถ้าจะให้แม่โบว์แนะนำสำหรับคุณแม่ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ แม่โบว์อยากจะบอกคุณแม่ว่า "ให้ลูกน้อยเป็นผู้เลือกเอง" กล่าวคือ ในกรณีที่คุณแม่ไม่มีภาวะการตั้งครรภ์ที่อันตรายหรือต้องดูแลจากคุณหมอเป็นพิเศษ คุณแม่ลองพิจารณาที่จะคลอดเองตามธรรมชาติย่อมดีที่สุด เพราะไม่ว่าอะไรก็ตาม ธรรมชาติจะจัดสรรและปรับสมดุลด้วยตัวเองอย่างดีอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าสุดท้ายแล้วมีภาวะฉุกเฉินที่ทำให้คุณแม่ต้องเปลี่ยนไปเป็น ผ่าคลอด นั่นเหมือนที่แม่โบว์บอกว่า ลูกน้อยจะเป็นผู้เลือกเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการคลอดแบบไหน คุณแม่ย่อมเจ็บปวดแต่งดงามเช่นกัน แต่สำหรับแม่โบว์แล้วเลือกที่จะ คลอดธรรมชาติ เหตุผลเดียวเลยคืออยากรับรู้ความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ ที่เค้าว่าเจ็บ เจ็บระดับไหน ที่เค้าว่าปวด ปวดทนได้ไหม ทั้งที่ส่วนตัวแม่โบว์เป็นคนกลัวความเจ็บมาก แต่ความอยากที่จะสัมผัสอารมณ์ตรงจุดนั้นมีมากกว่า จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจในครั้งนี้ว่าอยากที่จะคลอดเองตามธรรมชาติ โชคดีที่การตั้งครรภ์ท้องแรกไม่มีภาวะเสี่ยงใด ๆ ทั้งแม่โบว์เองและลูกในครรภ์ แม่โบว์ฝากครรภ์ที่ รพ.นนทเวชกับ คุณหมอลินดา อุดมศรีรุ่งเรือง คุณหมอดูแลดี ใจดี สุภาพ อ่อนโยน ถือเป็นคุณหมอคิวทองท่านหนึ่งเลยก็ว่าได้ จากประสบการณ์ของแม่โบว์ คุณหมอลินดาน่ารักนะคะ ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่คุณหมอดูแลเราแบบไม่การพาณิชย์จนเกินไป เช่น ไม่จำเป็นต้องซาวด์ทุกครั้ง เน้นให้คลอดธรรมชาติ ให้คำแนะนำหลายเรื่อง ที่ช่วยตัดเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้ในระดับหนึ่ง ตัดภาพมาที่ก่อนคลอด 1 วัน (วันที่ 29 ธันวาคม 2559) แม่โบว์ไปเดินซื้อของที่สำเพ็งเพื่อเตรียมเป็นของขวัญแจกปีใหม่ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน มีเหนื่อยบ้าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอาการอะไรผิดปกติ ซึ่งในวันถัดมา วันที่ 30 ธันวาคม 2559 เป็นวันที่คุณหมอนัดตามรอบปกติ (อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ 5 วัน) แม่โบว์ก็มาพบคุณหมอตามนัดตั้งแต่ 8 โมงเช้า โดยที่ไม่ได้ทานมื้อเช้ามาเลย เพราะกะว่าพอตรวจเสร็จ จะไปหาของอร่อยทานที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ซึ่งอยู่ข้าง ๆ รพ. พอมาถึงแผนกครรภ์คุณภาพก็เก็บปัสสาวะตามปกติ สักพักมีรถเข็นวีลแชร์มาจอดรอตรงหน้า ก็เกิดอาการงงขึ้นมาว่า "เอ๊ะ!!! มารับเราหรือเปล่า ไม่น่าจะใช่นะ" เพราะแม่โบว์ไม่ได้มีอาการผิดปกติ ไม่ได้จะมาคลอด น่าจะไม่ใช่เราที่ต้องไปนั่งที่รถเข็นหรอกมั้ง? สิ้นความคิดนั้น เสียงพยาบาลเรียกชื่อแม่โบว์ทันที "คุณแม่... เดี๋ยวคุณหมอให้ขึ้นไปวัดการเต้นของหัวใจน้อง และวัดการบีบตัวของมดลูกนะคะ" ความกลัวเริ่มมาปะทะทีละน้อย ความวิตกกังวลเริ่มปกคลุม สารพัดความคิดผุดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละค่ะ เราก็ต้องทำตามขั้นตอนของคุณหมอต่อไป ระหว่างที่ครุ่นคิดต่าง ๆ นานา ได้สติอีกทีรถมาหยุดตรงนี้ที่ห้องรอคลอด คุณพยาบาลทำการติดตั้งอุปกรณ์ที่ท้องเพื่อจับสัญญาณวัดค่าต่าง ๆ สักพักก็เข้ามาถามอาการทั่วไป ซึ่งแม่โบว์ไม่มีอาการอะไรเลยนอกจากความกลัวว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทิ้งเวลาอีกไม่นาน คุณหมอลินดา เดินเข้ามาในห้องด้วยความเป็นมิตรพร้อมกับใส่ถุงมือ แล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้นคุณหมอ : "ไหน...คุณหมอขอเช็คหน่อยนะว่าปากมดลูกเปิดหรือยัง??? อื้มมม...เปิด 3 เซนแล้วนะคุณแม่ คลอดวันนี้เลยไหม"แม่โบว์ : "เดี๋ยวก่อนนนนนน...คุณหมอ คือยังไม่ปวดท้องเลยนะคะ แล้วก็ไม่ได้มีมูกเลือดด้วย ที่สำคัญยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจมาเพื่อคลอดวันนี้เลย แค่มาตามนัดเฉย ๆ"คุณหมอ : "คลอดเลยเถอะ คลอดวันนี้แหละ" แล้วก็เดินอมยิ้มกรุ้มกริ่มออกจากห้องรอคลอดไป ตัดกลับมาที่แม่โบว์ กลัวสิคะรออะไร!!! ไม่นานนัก พยาบาลเดินเข้ามาทำการสวนก้น และทำการตัดแต่งพื้นที่ช่วงล่างให้โล่งเตียนเตรียมพร้อมในการคลอด(อิอิ) สักครู่เดียว แม่โบว์ก็อยากถ่ายท้องอันเนื่องจากการสวนก้น แต่ก็ไม่มีอะไรออกมานะ เพราะยังไม่ได้ทานมื้อเช้า และมื้อสุดท้ายคือเมื่อวานช่วงบ่าย แต่สังเกตว่าเริ่มมีมูกเลือดออกมานิด ๆ น่าจะเกิดจากการที่คุณหมอเช็คปากมดลูก เลยคิดว่า วินาทีแห่งความหฤหรรษ์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาประมาณ 9 โมง แม่โบว์เคลื่อนย้ายจากห้องรอคลอดไปอยู่ในห้องคลอด ต้องอธิบายก่อนนะคะว่าเรทราคาของห้องจะแตกต่างกันตามแพคเกจหรือฟังก์ชั่นเสริม คือ 1) ห้องรอคลอดที่รพ.นนทเวช จะแยกออกมาจากห้องทำคลอด สำหรับคุณแม่ไว้นอนรอที่จะคลอด ซึ่งบางครั้งอาจจะมีคุณแม่ท่านอื่นที่รอคลอดร่วมห้องด้วย ระหว่างนี้ญาติ ๆ หรือคุณพ่อ จะไม่สามารถเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนได้ ต้องนั่งรอด้านนอก (มีที่สำหรับญาตินั่งรอ) หากถึงเวลาพร้อมคลอด เจ้าหน้าที่จะพาคุณแม่มาห้องคลอดทันที 2) รอคลอดที่ห้องทำคลอดเลย กรณีนี้จะสามารถนอนรอจนกว่าจะพร้อมคลอด โดยที่มีญาติ ๆ หรือคุณพ่อสามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ได้ โดยในห้องจะมีทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำ และโซฟา เป็นห้องส่วนตัวเลยก็ว่าได้ หากถึงเวลาพร้อมคลอด คุณแม่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปไหน เจ้าหน้าที่และพยาบาลจะเข็นอุปกรณ์ต่าง ๆ มาเตรียมไว้ที่ห้องนี้เองทันที สะดวกสบายคุณแม่แบบนี้แน่นอนค่ะต้องจ่ายเพิ่ม (ส่วนต่างตรงนี้คุณแม่ลองสอบถามกับทางรพ.อีกทีนะคะ) ซึ่งแม่โบว์เลือกแบบนี้ ด้วยความที่เป็นท้องแรกจึงมีความกังวลและความกลัวอยู่ไม่น้อย จึงอยากให้คุณพ่อและคุณยายเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนกันในห้อง แต่แบบแรกก็ไม่ได้เลวร้ายนะคะ เพราะเอาจริง ๆ ห้องรอคลอด กับห้องคลอดอยู่ใกล้กันนิดเดียวเท่านั้น ระหว่างรอให้ปากมดลูกเปิดตั้งแต่เวลาประมาณ 9 โมงกว่า ๆ พยาบาลจะเข้ามาเจาะสายน้ำเกลือ เข้ามาเปลี่ยนชุด ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ วัดความดัน รวมถึงสอบถามข้อมูลทั่วไปตามขั้นตอน อาการโดยรวมของแม่โบว์ยังคงชิลล์ ๆ อยู่ ไม่เห็นเจ็บปวดเหมือนที่ใครพูดกันเลย อาจจะมีท้องแข็งเป็นระยะ แต่สิ่งที่ทรมานคือ หิวข้าวมากเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ในใจยังคิดว่าจะมีแรงเบ่งไหมน้อ??? 12:00 น. ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคลอด แต่มีปวดท้องหน่วง ๆ เบา ๆ คุณหมอจึงจัดยาเร่งคลอดมาให้ ระหว่างนี้ก็ได้แต่นอนเล่นมือถือไปพลาง ดูนาฬิกาไปพลาง สลับกับพยาบาลจะมาเช็คปากมดลูกว่าเปิดกี่เซนต์ (ระดับความปวดเต็ม 10 ให้ 2) 13:00 น. มดลูกเปิด 5 เซนต์ ความปวดเริ่มเพิ่มระดับขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่แม่โบว์ก็พอรับได้ ลักษณะของการปวดคือ ปวดเหมือนปวดท้องประจำเดือน ปวดหน่วง ปวดบีบ ๆ สลับกับท้องแข็งเริ่มถี่ขึ้นห่างกันประมาณ 15 นาที (ระดับความปวดเต็ม 10 ให้ 4) 14:00 น. เริ่มนอนไม่นิ่ง หิวก็หิว ความปวดเพิ่มระดับขึ้นจากชั่วโมงก่อน มีความปวดอึเพิ่มขึ้นมา แต่ไม่ลุกไปอึ คิดว่าลมเบ่งเริ่มมา ถ้าไปเบ่งในห้องน้ำ กลัวลูกตกชักโครก ได้แต่นอนอึดอัดและจับเวลาท้องแข็งว่าเริ่มห่างกันประมาณ 7-10 นาที ปากมดลูกเปิด 7 เซนต์ (ระดับความปวดเต็ม 10 ให้ 7) 14:40 น. พยาบาลเดินมาถามอาการ วัดความดัน และถามว่าคุณแม่อยากได้ยาแก้ปวดไหม แม่โบว์บอกว่ายังไหวค่ะ ไม่อยากได้ยาใด ๆ อยากรู้ว่าหากไม่ใช้แก้ปวด จะทนปวดได้ขนาดไหน พยาบาลโน้มน้าวสารพัดว่าหากใกล้คลอดเต็มที จะไม่สามารถให้ยาได้แล้วนะคะ ฉีดยาให้ตอนนี้คุณแม่จะได้บรรเทาปวด และสามารถงีบหลับพักผ่อนได้ค่ะ ในระหว่างที่แม่โบว์ครุ่นคิดลังเลว่าจะฉีดดีหรือไม่ คุณพยาบาลได้ฉีดยาให้เรียบร้อย แต่แม่โบว์ก็ไม่ได้โวยวายอะไร พยาบาลอาจจะหวังดีอยากให้พักผ่อนก็เป็นได้ (ระดับความปวดเต็ม 10 ให้ 8) 15:00 น. หลังจากยาออกฤทธิ์ สิ่งที่รู้สึกได้คือเบลอ ๆ ง่วง ๆ รับรู้ถึงความปวดที่เพิ่มระดับขึ้นอย่างทวีคูณ ทันใดนั้นเอง โพล๊ะ!!! ใช่ค่ะ ถุงน้ำคร่ำแตก แม่โบว์รู้สึกและได้ยินชัดเจน คุณพ่อรีบไปบอกพยาบาลให้มาดูแม่โบว์ ส่วนคุณยายเดินมาลูบหัวสังเกตว่ามีน้ำตารื้นพร้อมกับให้กำลังใจว่า "ไม่ต้องกลัวนะลูกเดี๋ยวก็คลอดแล้ว เป็นแม่คนแล้วก็จะเจ็บแบบนี้ทุกคน อดทนหน่อยนะ" สิ้นเสียงคุณยายทำเอาแม่โบว์น้ำตาไหล เพราะรู้ซึ้งแล้วถึงความเจ็บปวดนี้ที่คุณยายเคยเผชิญตอนคลอดแม่โบว์ 15:10 น. เจ้าหน้าที่และพยาบาลเข้ามาเช็คว่าน้ำคร่ำแตกเยอะไหม รวมถึงสอบถามอาการของแม่โบว์ ณ ขณะนี้ รับรู้ได้เลยว่าหลังจากที่น้ำคร่ำแตก มดลูกบีบตัวถี่ขึ้น ท้องแข็งกินเวลา 1 นาที ห่างออกไปทุก ๆ 5 นาที ระดับความปวดทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ปวดเหมือนปวดท้องประจำเดือน X 100 เท่า 1,000 เท่า ผสมปนเปกับการปวดเบ่ง อยากจะเบ่งตลอดเวลา แต่พยาบาลยังไม่ให้เบ่ง ถ้าจะให้เห็นภาพคือเหมือนเราปวดท้องอึแบบท้องเสียหนัก ๆ อั้นไว้เพื่อรอการระบายแต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาห้องน้ำไม่ได้ อารมณ์ประมาณนั้นเลยค่ะ เทคนิคฝึกการหายใจตอนคลอด สำคัญนะคะ เพราะช่วยคุณแม่ได้ไม่น้อยเลย แม่โบว์นอนรอเด็กน้อยด้วยความเจ็บปวดแต่มีความสุขว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะได้เจอใครบางคนที่ไม่เคยเห็นหน้าแต่เรารอคอยอยากที่จะเจอเค้าเต็มที มันทำให้เราบรรเทาความปวดลงไปได้บ้าง คุณแม่ไม่ควรเร่งการเบ่ง ไม่ควรโวยวายกรีดร้องเพราะความเจ็บตรงหน้า ไม่มีประโยชน์และไม่ช่วยให้หายเจ็บปวด เก็บแรงไว้เบ่งตอนถึงเวลาจะดีกว่านะคะ (ระดับความปวดเต็ม 10 ให้ 9) 15:30 น. คุณหมอวัดปากมดลูกที่ตอนนี้เปิดเต็มที่ (ระดับความเจ็บปวด 10 เต็มไม่หัก!!!) จากห้องรอคลอดกลายเป็นห้องคลอดโดยปัจจุบันทันด่วน คุณยายกับคุณพ่อได้ถูกเชิญให้ไปรอด้านนอก อุปกรณ์ครบ คุณหมอและทีมคลอดครบ และเตรียมพร้อมในชั่วโมงสำคัญที่มันคือความเป็นความตายเลยก็ว่าได้ คุณหมอให้ลองซ้อมเบ่งและแนะนำให้เบ่งลงที่ก้น พร้อมกับแซวว่า คุณแม่จะมีแรงเบ่งมั๊ยนะข้าวปลาไม่ได้ทานเลย 15:35 น. ปฏิบัติการการคลอดกำลังเริ่มขึ้น คุณแม่!!! ลองเบ่งนะคะ เอ้าาา......ฮืบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ เสียงเจ้าหน้าที่พยาบาล 3-4 คน ช่วยเชียร์เบ่ง มันช่วยได้จริง ๆ นะคะ พอแม่โบว์ได้เบ่งแล้วจะรู้สึกโล่งสบายขึ้นมานิดนึง ทีนี้ถึงคราวเบ่งจริงแล้ว แม่โบว์ไม่ได้เบ่งลงก้นซึ่งเป็นวิธีที่ผิด ทำให้พยาบาลต้องทำความเข้าใจกับแม่โบว์ใหม่ ซึ่งพยาบาลที่วอร์ดน่ารัก สุภาพ และเป็นกำลังใจที่ดีในขณะที่เราเหมือนอยู่ในสนามรบแล้วเค้าร่วมรบไปกับเรา ห้องคลอดที่ตอนแรกดูจะเย็นสบาย แต่ตอนนี้มันร้อนจนเหงื่อท่วมตัว พยาบาลบรรจงเช็ดหน้าตาที่เลอะเทอะไปด้วยเครื่องสำอางเพราะไม่คิดว่าจะคลอดวันนี้ให้ สลับกับเชียร์เบ่ง แม่โบว์เบ่งอยู่ 3 ครั้ง หมดแรงค่ะ อาการตอนนี้คือเบลอ ปวดท้องจนแทบขาดใจตาย ทิ้งตัวและตาลอย จนพยาบาลเรียกสติ คุณแม่!! คุณแม่!! ไหวไหมคะ ทำไมตาลอย?? แม่โบว์ประคองสติตัวเอง รวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดเฮือกสุดท้าย มาใช้กับการเบ่งครั้งที่ 4 ให้ลงก้นจนสุดแรง สัมผัสได้ถึงการโดนกรีดฝีเย็บเพื่อช่วยคลอดของคุณหมอ แต่คุณแม่ทั้งหลายอย่ากังวล เพราะมันจิ๊บ ๆ ไปเลยค่ะเมื่อเทียบกับการปวดท้องคลอดที่มันขั้นกว่า 15:47 น. "คุณแม่เบ่งนะคะ เห็นหัวน้องแล้วค่ะ รอบนี้ต้องออกแล้วนะคะ เอ้าาาา.....ฮืบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ น้องโผล่มาแล้วค่ะคุณแม่ ดีมากค่ะ หยุดเบ่งก่อนนะคะ" ในขณะที่คุณหมอกำลังเคลียร์ช่องทางการหายใจของเด็กน้อยที่เพิ่งโผล่ออกมาดูโลกใบใหม่ที่กว้างกว่าเดิม ผู้เป็นแม่จะมีอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งกังวลว่าลูกหายใจไหม อยากจะยกตัวขึ้นไปมอง หน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง แต่แม่เองก็จะมีความรู้สึกจุก ๆ อึดอัดหน่วง ๆ เพราะมีทารกน้อยคาอยู่ที่บริเวณช่องคลอด แต่จะใช้เวลาไม่นานนัก คุณหมอก็ให้เบ่งคลอดออกมาทั้งตัว ความรู้สึกเหมือนมีอะไรหลุดพรวดออกจากช่องคลอดด้วยความจุกเบา ๆ 15:51 น. ขานเวลาคลอดและบอกเพศ "ผู้หญิงค่ะคุณแม่" ทุกความเจ็บปวดอย่างเจียนตายในทุกวินาทีมันหายไปหมดแล้วจริง ๆ หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และความสนุกสุดหฤหรรษาทั้งปวงกำลังรออยู่เบื้องหน้าของแม่โบว์แล้ว!! หลังจากที่พยาบาลพาน้องไปทำความสะอาดจนเรียบร้อย ก็พามาให้แม่โบว์ดูหน้าไม่นาน ระหว่างนี้ก็ทำการคลอดรกและเย็บแผล และพักฟื้นดูอาการหลังคลอดที่ห้องคลอดไปก่อน ก่อนที่จะย้ายไปที่ห้องพักส่วนตัวตามแพคเกจที่จองไว้ "ความเจ็บปวดที่งดงาม" เป็นความเจ็บปวดในท่ามกลางความสุขและการรอคอยใครสักคน มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากนะคะ ในชีวิตที่เราเคยคิดว่าเราสามารถรักใครสักคนได้มากแล้ว แต่สำหรับลูกเราสามารถรักเค้าได้มากกว่า ช่วงเวลาที่เราเจ็บปวดกับการคลอดมันเจ็บจนจะหมดลมหายใจ ก้าวขาไปอยู่ในห้วงของความตายไปแล้ว 1 ข้าง แต่สุดท้ายการคลอดดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี สามารถดึงขากลับมาด้วยสติและเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงเพราะนึกถึงลูก ซึ่งแม่โบว์โชคดีที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณหมอลินดา และเจ้าหน้าที่พยาบาลทุกคน หากมีลูกคนที่ 2 คงต้องฝากช่วงเวลาชีวิตที่สำคัญนี้ไว้ในมือคุณหมอลินดาอีกเช่นเคย แล้วก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ค่ะ (ไว้โอกาสหน้าแม่โบว์จะมาเล่าประสบการณ์การคลอดลูกท้อง 2 ให้ได้อ่านกันนะคะ) สุดท้ายอยากเป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่นะคะ อย่ากังวลจนเกินไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามวาระตามขั้นตอน ไม่ต้องกลัวอะไรข้างหน้า เพราะไม่ว่าจะเลือก คลอดธรรมชาติ หรือ ผ่าคลอด คุณแม่ย่อมภูมิใจในการเสียสละทุกอย่างเพื่อลูกน้อยได้แม้กระทั่งในนาทีชีวิตเช่นนี้ ขออวยพรให้การคลอดลูกผ่านไปได้ด้วยดี แข็งแรงทั้งคุณแม่และคุณลูกนะคะ บทความโดย >>> ผู้เขียน : อินท์กรกัญจน์ภาพประกอบ(หน้าปก) โดย : 3907349 จาก pixabayภาพประกอบโดย : StockSnap จาก pixabayภาพประกอบโดย >>> ผู้เขียน : อินท์กรกัญจน์ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !