หลังจากทำงานที่ออฟฟิศใจกลางเมืองมาทั้งอาทิตย์ วันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกเราเป็นช่วงเวลาที่ทำให้โหยหาบรรยากาศนอกบ้านแบบไม่ไกลบ้านมากนักเพราะขี้เกียจขับรถ “ไปที่นี่กันมั้ย” เคนชวนผมหลังจากเราลองค้นหาร้านกาแฟน่านั่งในย่านปากเกร็ด พร้อมโชว์ให้ผมดู ที่นี่ที่ว่าชื่อ โรงสีสตูดิโอ (Rongsi Studio) ร้านอาหาร-คาเฟ่ที่เปลี่ยนโฉมโรงสีอายุกว่าร้อยปีให้กลายเป็นร้านอาหารและคาเฟ่สุดชิคในแนววินเทจ เย้ายวนใจคอกาแฟอย่างผม และคนชอบเที่ยวอย่างครอบครัวเราเป็นที่ยิ่ง ถ้าไม่ทางเรือก็ทางเรือ จากแผนที่ ร้านนี้ตั้งอยู่บนเกาะเกร็ดครับ การเดินทางเข้าเกาะเกร็ด โดยปกติเราจะขับรถมาจอดที่ท่าเรือวัดสนามเหนือ จากนั้นจึงต่อเรือข้ามฟากอีก 2 บาทเพื่อข้ามไปยังเกาะเกร็ด และช่วงเสาร์-อาทิตย์ คิวข้ามฟากเรือมักจะยาวเหยียดจนผมถอดใจจะไปหลายต่อหลายครั้ง ถ้าขับรถมา แนะนำให้จอดตรงวัดปากคลองพระอุดมทางร้านมีบริการเรือข้ามฟาก ค่าเรือมีทั้งคนละ 10 บาทต่อเที่ยวสำหรับเรือไม้ และคนละ 20 บาทสำหรับเรือยนต์ครับ แต่เบาะกว้างนั่งสบาย เวลาที่ผมไปนั้น บ่ายแก่ๆเกือบเย็นแล้ว จึงตัดสินใจไปทางคลองพระอุดมแทน เปิด GPS แล้วขับรถตามแผนที่มาเรื่อยๆได้เลยครับ จุดที่ปักหมุดค่อนข้างแม่นอยู่แม้ทางเข้าจะแลดูเป็นทางเลียบแม่น้ำเล็กๆ และแลดูไม่เหมือนท่าเรือที่จะต่อไปไหนได้ เราจอดรถในบริเวณวัดที่ค่าที่จอดรถแล้วแต่เราจะให้ จากนั้นจึงเดินเลียบแม่น้ำผ่านบ้านเรือนริมน้ำตามป้ายไปเรื่อยๆเพื่อมาต่อเรือ จากท่าเรือจะมองเห็นร้านโรงสีสตูดิโอริมน้ำฝั่งตรงข้ามครับ สรุปแล้ว การเดินทางมาที่ร้านนี้ ถ้าไม่ต่อเรือข้ามฝั่งวัดสนามเหนือและต่อมอเตอร์ไซค์มาอีก 2 กม. ก็ต้องมาต่อเรือข้ามฟากที่คลองพระอุดมอยู่ดีครับ ตำนานโรงสี วิถีสโลว์ไลฟ์ ทำไมถึงมีโรงสีเก่าอยู่ที่นี่? เดิมที่นี่คือ โรงสีไทยอุดม โรงสีข้าวพลังงานไอน้ำของครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน อายุกว่า 100 ปี โดยใช้เปลือกข้าว หรือแกลบที่ได้จากการสีข้าวนำมาเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สยามรับบทบาทเป็นผู้ผลิตข้าวป้อนตลาดโลก และการขนส่งในสมัยนั้นใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลักเนื่องจากเวลาส่งออก ต้องส่งออกในปริมาณมากเป็นหลายตันเพื่อให้การขนส่งคุ้มค่าที่สุด ทำให้โรงสีในสมัยก่อนจึงมักตั้งอยู่ริมน้ำเพื่อให้การขนส่งขึ้น-ลงเรือทำได้สะดวกนั่นเอง จะส่งขายทางเรือก็ได้ จะป้อนผลผลิตเข้าชุมชนก็ได้ จนเมื่อวันเวลาผ่านไป โรงสีแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาช่วงหนึ่ง จนปัจจุบัน คุณลิขิต สินสถาพรพงศ์และหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง ตั้งใจปรับเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางธรรมชาติ แต่ยังคงอนุรักษ์บรรยากาศและโครงสร้างไม้สักของโรงสีเอาไว้ โดยจัดสรรพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ โซนร้านอาหาร โซนร้านอาหารชื่อ Milli Cafe & Restaurant โซนที่เราสามารถนั่งทานอาหารได้ มีทั้ง indoor ที่ติดแอร์ และ outdoor ครับ ถ้ามาตอนกลางวัน นั่งโซน indoor ได้บรรยากาศร้านในแบบย้อนยุคในห้องแอร์เย็นสบาย เพราะแดดเกาะเกร็ดโดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนนี้ ร้อนแรงไม่แพ้ที่ใดในสยามประเทศครับ แต่สำหรับยามเย็น ผมแนะนำนั่งโซน outdoor ดีกว่าครับ สามารถรับลมเย็นจากริมแม่น้ำได้ มีดนตรีสดฟังด้วย หรือจะนอนชิลบนตาข่ายเหนือน้ำระหว่างรออาหารก็ฟินไม่แพ้กัน อาหารที่นี่เป็นอาหารไทยฟิวชั่น ซึ่งเราได้ลองสั่งเมนูขึ้นชื่อของทางร้านอย่าง ข้าวผัดปลาทู, ยำวุ้นเส้นแบบโบราณที่ปัจจุบันหาทานยาก เพราะวิธีการทำค่อนข้างยุ่งยากกว่าแบบสมัยใหม่ตามท้องตลาดครับ, น้ำพริกกะปิปลาทู และโป๊ะแตกมาลองครับ ข้าวผัดปลาทูที่นี่มีเอกลักษณ์ เสิร์ฟมาในกรวยใบตองครอบอย่างประณีต ทำเอาผมอดจะทำความเคารพก่อนเปิดกรวยออกไม่ได้ รสชาติอาหารเข้มข้นถูกปากทั้งบ้านครับ ในฤดูร้อนแบบนี้ทางร้านกำลังโปรโมทเมนูหาทานยาก อย่างปลาแห้งแตงโม ของว่างชาววังดับร้อนที่นิยมรับประทานกันในสมัยรัชกาลที่ 4 และทำไม่ยากนัก สมัยทวดของผม แม่เล่าว่ายังเคยเห็นท่านทานแตงโมกับข้าวอยู่ แต่ในปัจจุบัน เมื่อวิถีตะวันตกเริ่มมีผลต่อวิถีชีวิตของเรามากขึ้น ทำให้เราแยกของคาวออกจากผลไม้ที่กลายเป็นเมนูล้างปาก และทำให้เมนูฟิวชั่นระหว่างอาหารคาว-ผลไม้อย่างปลาแห้งแตงโมหมดความนิยมไปครับ ปัจจุบันจึงกลายเป็นเมนูที่หาทานยาก แต่หาได้ที่นี่ สำหรับรสชาติ ผมสารภาพว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมทานแตงโมแล้วมีรสเผ็ด จากเครื่องพริกเกลือ ผสมคลุกเคล้าปลาแห้ง แตงโมต้องคัดที่เนื้อแน่นจึงจะทำเมนูนี้ได้อร่อย ทานแล้วดับร้อนจริงๆครับ ยิ่งกัดเจอรสเผ็ด ยิ่งทำให้ความเย็นของแตงโมโดดเด่นขึ้น สำหรับของหวานแนะนำ ผมแนะนำเค้กมะพร้าวครับ เนื้อเค้กแน่นและหอมมะพร้าว หวานอ่อนๆ สำหรับคนไม่ชอบหวานจัด ถือว่าอร่อยครับ เครื่องดื่ม เราลองสั่งลาเต้เย็น โกโก้ปั่น และชาพีชที่คุณแม่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ ทุกเมนูเครื่องดื่มผ่านหมดครับ โดยเฉพาะชาพีชที่หอมกลิ่นพีชแตะจมูกตอนกลืนเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามาลอง ผมแนะนำให้ลองสั่งแบบผสมโซดาครับ จะได้ความหอมสดชื่น ซาบซ่าแบบหายร้อนเลยครับ สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4 ขา สามารถพามาที่ร้านได้นะครับ อาจจะไม่ใช่ร้านที่แนะนำสำหรับสัตว์เลี้ยงเท่าไหร่ เพราะต้องขึ้นรถต่อเรือ ขลุกขลักพอสมควร แต่ทางร้านก็อนุญาตให้พาน้องมาเที่ยวได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลนะครับ โซนที่พัก ที่นี่ให้บริการที่พักแบบโฮมสเตย์ด้วย เป็นโฮมสเตย์ริมน้ำที่ได้บรรยากาศแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตา 180 องศาให้คุณได้ผ่อนคลายความวุ่นวายจากชีวิตในเมือง ผมต้องบอกว่าที่นี่ค่อนข้าง Exclusive เพราะมีห้องพักทั้งหมดเพียง 6 ห้องเท่านั้น ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 2000 บาทครับ ในรายละเอียดเรื่องราคาสามารถติดต่อทางโฮมสเตย์ได้โดยตรงเลย และไม่เพียงแค่การพักผ่อน เพราะที่นี่ ถ้าคุณตื่นเช้าไหว สามารถใส่บาตรพระที่ท่านจะมาบิณฑบาตทางเรือทุกเช้าด้วย อาหารแห้งสามารถติดต่อทางรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ หรือจะเช่าจักรยานที่ทางรีสอร์ทมีให้บริการ ปั่นไปตามชุมชนประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตทั่วเกาะเกร็ดก็ยังได้ เกาะเกร็ดเป็นชุมชนชาวมอญที่มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา รอบเกาะเกร็ดจึงมีร่องรอยอารยธรรมมอญซ่อนอยู่ ทั้งเจดีย์มุเตา หรือเจดีย์เอียงก็เป็นศิลปะพม่า ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ มีรูปทรงคล้ายเจดีย์ชเวดากอง การผูกผ้าแดงรอบเจดีย์ หรือการปักเสาหงส์ ธงตะขาบในบริเวณวัดก็เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนมอญเช่นกัน หรือจะสำรวจสวนทุเรียนเมืองนนท์ที่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ ใกล้โฮมสเตย์ก็มีสวนทุเรียนอยู่ในระยะปั่นถึงครับ นอกจากนี้ จากร้านยังสามารถเดินหรือปั่นจักรยานไป “บ้านกวานอาม่าน” พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผามอญลายโบราณ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาศิลปะสกุลช่างปากเกร็ดที่มีลวดลายวิจิตร อ่อนช้อย เป็นเอกลักษณ์ จนหม้อน้ำลายวิจิตรกลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดนนทบุรีทีเดียว ระหว่างทาง ถ้าเป็นเวลากลางวัน ก็สามารถชมตลาดพื้นบ้านของชาวเกาะเกร็ดได้ด้วย ช่วงเย็นประมาณ 5 โมง ตลาดจะเริ่มวาย ผมแนะนำให้อยู่ดู Sunset ในบริเวณร้านครับ สำหรับคนที่โหยหาวิถีสโลว์ไลฟ์อย่างผม ไม่มีอะไรจะโรแมนติคเท่าการเอนหลังลงบนตาข่ายเหนือน้ำ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ย้อมฟ้าให้เป็นสีทองอมม่วงก่อนจะตกลงน้ำในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ตอนกลางคืน ซึ่งนับว่าเป็นความรู้ใหม่ของผมด้วย คือ ที่ปากเกร็ดบ้านผมเองนี้ มีหิ่งห้อยด้วยครับ และมีตลอดทั้งปี ทางร้านสามารถจัดเรือออกชมหิ่งห้อย ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษเฉพาะสำหรับแขกที่มาพักโฮมสเตย์ครับ หรือถ้าเป็นเวลากลางวัน และอยากเห็นเกาะเกร็ดแบบทั่วทั้งเกาะโดยไม่อยากปั่นจักรยาน สามารถเช่าเรือกับทางโฮมสเตย์ไปวนรอบเกาะ ไหว้พระ หรือให้อาหารปลาชิลๆก็ได้ โซนสตูดิโอ เพราะความวินเทจของร้าน ทำให้ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหาร คาเฟ่ หรือโฮมสเตย์ทั่วไปครับ แต่ยังมีมุมสวยๆในบรรยากาศน่ารักให้ถ่ายรูปด้วย จะเป็นมุม sunset ที่ริมท่าน้ำ สายลมและสองเราที่มีฉากเป็นเรือนกระจกแบบวินเทจ หรือจะเซลฟี่กับโรงสีไม้สักที่จัดแสงให้ดูมีเสน่ห์และมนต์ขลัง ก็สวยไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ที่นี่ยังรับจัดเลี้ยงอย่างงานแต่งงานเล็กๆด้วยครับ มีฉากเป็นโรงสีโบราณอายุ 100 กว่าปี เก๋ไปอีกแบบ หรือจะจัดเลี้ยงเฉพาะกลุ่มของเราไม่อยากให้ใครมาแจม ก็สามารถจัดในมุม private ได้ครับ New Normal ของร้านหลังโควิด เช่นเดียวกับร้านอาหารหลายๆร้านที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ทางร้านต้องจัดระเบียบและมาตรการรับมือใหม่ ต้องบอกว่าทางร้านจัดการค่อนข้างดีนะครับ มาถึงท่าเรือแล้วต้องลงชื่อ ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ พร้อมบันทึกอุณหภูมิและล้างมือก่อนเข้าร้าน โซน Indoor ที่เป็น Milli Cafe ขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้นั่งครับ เพราะต้องการให้ลูกค้านั่งบริเวณที่อากาศถ่ายเทมากกว่า แต่โซน Outdoor ข้างคาเฟ่ช่วงบ่ายไม่ร้อนเลย ลมแม่น้ำโกรกเย็นสบายดีด้วยครับ สำหรับลูกค้าขาจรที่มาเที่ยวเกาะเกร็ดและอยากแวะมาสั่งเครื่องดื่ม ทางร้านก็จัดเก้าอี้ให้นั่งรอ เว้นระยะกันตามระเบียบครับ ต้องขอออกตัวว่า ผมไม่ได้ค่าโฆษณาจากทางร้านแต่อย่างใดนะครับ เป็นความอยากเล่าสู่กันฟัง เพราะโดยส่วนตัวประทับใจกับบรรยากาศที่นี่ และอยากแบ่งปันประสบการณ์สถานที่ต่างๆกับทุกท่านครับ ช่วงนี้ ทางร้านจัดโปรโมชั่นห้องพักในราคาพิเศษอยู่ครับ ด้านรายละเอียดเรื่องราคา สามารถสอบถามตรงได้กับทางร้านที่เพจ Facebook ของร้านหรือเบอร์โทรศัพท์ที่ผมให้ไว้ด้านล่างครับ RONGSI STUDIO พิกัด: เกาะเกร็ด จ.นนทบุรี https://goo.gl/maps/zvrjzmNsZM1py6TM8 การเดินทาง: นั่งสองแถวมาลงวัดสนามเหนือ แล้วต่อเรือข้ามฟาก 2 บาทมาเกาะเกร็ด จากนั้นเดินหรือต่อมอเตอร์ไซค์มาร้านอีกประมาณ 2 กม. ค่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 30 บาท ง่ายกว่า มาจอดรถที่วัดปากคลองพระอุดม แล้วต่อเรือข้ามฟากของทางร้านไปอีก 10 บาท ติดต่อ: Facebook Page: https://www.facebook.com/RongsiStudio/ โทรศัพท์: 02-082-8865 เครดิตภาพ: Pornpan Kleepkaew