ตกงาน...สู้โควิด (Lady mission) เรื่องราวของคุณขวัญ คุณแม่ลูกสอง วัย45ปี ที่ต้องตกงานเนื่องจากพิษโรคระบาด Covid-19 ในระยะเวลา 2-3 เดือนกับการล็อคดาวน์เพื่อระงับการระบาดของโรค คุณขวัญเป็นคนหนึ่งที่ต้องออกจากงานเนื่องจากโรงงานที่ทำงานอยู่มีนโยบายลดอัตราการผลิต ที่สำคัญคืออดีตที่ทำงานของคุณขวัญมีเพียงประกันสังคมเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานรองรับเท่านั้น แต่ผู้หญิงที่เป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าต้องหาทางออกสำหรับปัญหานี้อย่างเร่งด่วนที่สุด ดังนั้นคุณขวัญจึงเริ่มคิดหารายได้ใหม่และลดรายจ่ายโดยมีโจทย์ดังนี้ 1. ต้องใช้ต้นทุนน้อยที่สุด 2. ต้องใช้ความรู้และทักษะให้น้อยที่สุด(เนื่องจากคุณขวัญเรียนจบชั้น ป.6 และมีประสบการณ์ทำงานเพียงที่เดียว) 3. ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดเนื่องจากต้องแบ่งเวลาไปดูแลลูกๆ ลูกชายคนโตอายุ 4 ขวบ คนเล็ก 1 ขวบ (คุณขวัญเล่าว่าเธอแต่งงานช้าประมาณอายุ 38 ปี เพราะหน้าตาไม่สวย) ตามโจทย์หรือข้อจำกัดทั้งสามข้อนี้ ทำให้เราคิดไปว่าคุณขวัญจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในสภาวการณ์เช่นนี้ แต่คุณขวัญเล่าว่าตัวเธอเองนั้นก็มีจุดแข็งอยู่คือ 1. เป็นคนมีระเบียบวินัยโดยเฉพาะเรื่องการเงินและเวลา 2. เป็นคนร่างกายแข็งแรงเนื่องจากทำงานหนักมาตั้งแต่เล็ก 3. ไม่มีสามีที่ต้องคอยดูแล (มุมมองนี้สำหรับเราแล้วรู้สึกแปลกใจ) 4. ไม่มีพ่อแม่ที่ต้องคอยดูแลเนื่องจาก น้องๆรับหน้าที่ดูแลไปแล้ว 5. ไม่มีหนี้สิน เนื่องจากเธอเช่าบ้านอยู่จึงไม่ต้องผ่อน และใช้จักรยานยนต์ในการเดินทางซึ่งผ่อนหมด 2 ปีแล้ว ดังนั้นคุณขวัญจึงมองว่าภารกิจของเธอคือแค่หาเงิน เลี้ยงดูและส่งเสียให้ลูกๆได้เรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างอนาคตให้ลูกๆเท่านั้นเอง(น้ำเสียงและสีหน้านิ่งเหมือนเป็นเรื่องปรกติ) เธอเล่าว่าการที่เธอได้เข้าทำงานในโรงงานที่ผ่านมา ทำให้เธอเห็นเรื่องราวต่างๆมากพอสมควร ซึ่งมีอยู่หนึ่งเรื่องที่เธอสนใจมาตลอดก็คือเรื่องทุนการศึกษาที่ภาครัฐหรือเอกชนส่งเสริมอยู่ภายในโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาทุกระดับ เธอมองว่าพวกทุนการศึกษาที่มีอยู่นี้ จะช่วยเหลือเธอได้มากหากเธอสามารถผลักดันส่งเสียลูกๆให้ไปอยู่ ณ จุดนั้นได้ อันนี้ตอบโจทย์ข้อแรกของเธอได้เกือบทั้งหมด การตอบโจทย์ข้อที่2 และ3(ระหว่างเล่าเธอมีสีหน้ากังวล) เนื่องจากเธออายุค่อนข้างมากแล้ว จึงทำให้การหางานประจำทำในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปได้ยาก เธอจึงเริ่มมองไปรอบตัวหาต้นทุนที่มีอยู่ที่พอจะหาได้ก็มี ทีวี ตู้เย็น โทรศัพท์ มือถือ และเครื่องครัวเพียงเท่านี้ เธอจึงมองวงรอบให้ใหญ่ขึ้นรอบบ้านเช่าก็จะมีเพียงต้นไม้ กองขยะ กองดินหินทราย และสนามเด็กเล่นเท่านั้น เธอจึงมองวงรอบที่กว้างขึ้นไปอีกซึ่งเธอก็ได้พบกับคลองสาธารณะ ที่ดินรกร้าง และตลาดสด ร้านขายของเก่า และชุมชนบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ เนื่องจากต้นทุนมีจำกัดเธอจึงต้องคิดถึงต้นทุนในการเดินทางไปหารายได้ด้วย ดังนั้นจึงต้องกำหนดวิธีการหารายได้เป็นหัวข้อดังนี้ 1. เก็บผักบุ้ง ดอกบัว หน่อไม้ ยอดกระถิน ดอกโสน ดอกแคร์ ฝักมะรุม อื่นๆแล้วแต่ช่วงฤดู ภายในที่ดินสาธารณะหรือรกร้าง ไปขายที่ตลาด รายได้เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 120-150 บาทต่อวัน (ทำงานเฉพาะช่วงเย็นและนำไปขายช่วงเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น) 2. เก็บขยะมูลฝอยเหลือใช้ในหมู่บ้านจัดสรรหรือพื้นที่รกร้าง ระแวกใกล้เคียงมาคัดแยก เพื่อขายที่ร้านรับซื้อของเก่า รายได้ จะอยู่ที่100-120 บาทต่อวัน (ทำงานช่วงสายถึงเย็น) 3. รับจ้างถางหญ้าในหมู่บ้านรายได้อยู่ที่ 320 บาทต่อวัน (ต้องซื้อมีด และหินลับมีด ราคา 300-450 บาท ทำงาน8โมงเช้าถึง5โมงเย็น) 4. รับจ้างเป็นกรรมกรไซต์งานก่อสร้างภายในหมู่บ้านจัดสรร รายได้ 280 -300 บาทต่อวัน(ต้องทำงาน8โมงเช้าถึง 5โมงเย็น) 5. รับจ้างทำนาข้าวในพื้นที่ใกล้เคียงรายได้ประมาณ 280-300 บาทต่อวัน (ทำงาน 8 โมงเช้าถึง 5โมงเย็น) 6. รับจ้างเสิร์ฟอาหารตามงานศพในวัดใกล้ที่พักรายได้ประมาณชั่วโมงละ 100-120 บาท มีงานไม่สม่ำเสมอ ขั้นต่ำ2-3 ชั่วโมง (สามารถลดภาระค่าอาหารเนื่องจากบางครั้งสามารถนำอาหารจากงานมารับประทานที่บ้านได้) เธอเล่าว่าในระยะแรกของการตกงานคงต้องทำเช่นนี้ไปก่อนและอาศัยค่าชดเชยจากประกันสังคม 3 เดือน เดือนละ 2 พันกว่าบาท คงทำให้เธอกับลูกๆ สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างพอประมาณ หากมองให้ดีรายได้ที่เธอสามารถหาได้ก็ไม่ได้แตกต่างจากช่วงที่เธอทำงานโรงงานเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่มีวันหยุดและงานหนักกว่า แต่ในช่วงต่อจากนี้ไปอีกไม่เกิน 3 เดือนเธอก็หวังว่าชีวิตเธอคงจะดีขึ้นบ้างเพราะทุกปัญหาต้องมีจุดอิ่มตัว และคลี่คลายไปตามธรรมชาติและเวลา จากเรื่องราวชีวิตจริงที่คุณขวัญเล่ามาอาจทำให้หลายคนได้มองเห็นอีกแง่มุมนึงในการดำรงชีวิต ให้รอดพ้นจากช่วงวิกฤตที่เป็นอยู่และนำแนวทางของคุณขวัญมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ภาพโดยผู้เขียน