ตรวจสุขภาพมาสามปี ไขมันในเลือดสูงขึ้นทุกปี ราวกับราคาหุ้นในภาวะกระทิง ไขมันตัวดีก็ต่ำเตี้ยเป็นภาวะหมี ปฎิเสธการใช้ยาลดไขมันมาทุกปี จนปีล่าสุด หมอขอให้ติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้าน เผื่อไว้ว่า เช้าวันไหน ตื่นขึ้นมาแล้วปากเบี้ยว ให้รีบไปโรงพยาบาล จึงตัดสินใจพบหมอใกล้บ้าน โดยนำผลเลือดปีล่าสุดไปปรึกษา หมอให้ยาลดไขมันมาลองกินดู 14 วันพร้อมกับขอให้ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน กลับมาตรวจเลือดอีกครั้ง ผลเลือดดีขึ้น ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องตับกับกล้ามเนื้ออักเสบ หมอให้ยามาอีก 1 เดือน แล้วตรวจเลือดอีกครั้ง คราวนี้ เริ่มมีผลข้างเคียง เรื่องตับกับกล้ามเนื้ออักเสบ หมอจึงให้ออกกำลังกายครึ่งชั่วโมงทุกวันร่วมกับงดแป้งมื้อเย็น โดยงดกินยาลดไขมันไปก่อน เลยเลือกเดินทุกวันมาสามเดือน วันไหนฝนตก กลับบ้านค่ำ ก็ปั่นจักรยานในบ้านหรือวิ่งในฟิตเนสเซ็นเตอร์ น้ำหนักเริ่มลดลงเดือนละ 1 กิโลกรัม กางเกงที่เคยคับ ก็เริ่มหลวม เริ่มหยิบกางเกงก้นตู้มาใส่ได้อีก หลังเท้าที่อวบอูมก็ยุบลง พร้อมกับคอเหี่ยว แล้ววันหนึ่ง ก็รู้สึกอยากวิ่ง พอวิ่งก็ไม่เจ็บเข่า ขาไม่ตึง เริ่มออกวิ่งตามงานต่างๆ จากฟันรัน 5 กิโลเมตร มาเป็นมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร แม้จะทำเวลาพอไม่ให้ตัดตัว แต่ก็ติดใจไม่อยากข้ามไป ฮาล์ฟมาราธอน เสื้อและเหรียญเริ่มไม่มีที่เก็บ ลองวิ่งแบบเสมือน ใช้แอพเก็บระยะทางส่งเข้าไลน์ ช่วยซื้อเครื่องกระตุกหัวใจ ซื้อรองเท้าให้เด็กยากจน ช่วยค่าผ่าตัดหัวใจ ช่วยรักษาเด็กเป็นโรคเบาหวาน ผลเลือดสามเดือนเกือบเข้าสู่เกณฑ์ ดัชนีมวลกายลงมาอยู่ในเกณฑ์ ความดันเลือดลดลงจนดีใจ แต่ผลข้างเคียงของการลดน้ำหนักมากๆ จากการออกกำลังกาย อาจจะนำมาซึ่งเลือดเป็นกรด ไขมันไปเข้มข้นในถุงน้ำดีจนตกตะกอนกลายเป็นนิ่ว จึงควรกินน้ำวันละ 2-3 ลิตร หมอเห็นด้วยกับการไม่กินยาลดไขมัน แต่ขอให้ออกกำลังกายครึ่งชั่วโมงทุกวันกับลดแป้งในมื้อเย็นเหมือนเดิม พร้อมกับแซวว่า มีอุปกรณ์ประกอบการออกกำลังกายที่ข้อมือด้วย สุขภาพดีดีมาจากการปฏิบัติตัวให้เเข็งเเรง ออกกำลังกายทุกวันวันละ 45 นาที งดแป้งมื้อเย็น งดน้ำตาล น้ำปลา เพียงเท่านี้ ก็วิ่งหนียาลดไขมันในเลือดที่มีผลข้างเคียงคือตับกับกล้ามเนื้ออักเสบ