สวัสดีค่ะ เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่จะขออนุญาตถ่ายทอดเรื่องราวในมุมของ"ผู้ป่วย" ที่หลายๆคนอาจจะเข้าใจ หรือหลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจ ตอนนี้เราอายุ 26 ปีแล้วค่ะ ใกล้จะเข้า 27 ปีเร็วๆนี้แล้ว หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยเราได้เริ่มใช้ชีวิตการทำงานที่ถือว่าโอเคมาก ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้หญิงอย่างเราๆทุกคนมี "ความฝัน" กันทุกคนเราก็เป็นผู้หญิงหนึ่งในนั้นเช่นกันค่ะ ชีวิตการทำงานของเราดำเนินมาอย่างปรกติมีกดดันบ้าง ร้องไห้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดามากในชีวิตทำงาน ยังไม่มีอะไรที่คิดว่าจะเป็นต้นเหตุได้เลย จนวันเวลาล่วงเลยไป ชีวิตเราแฮปปี้มากค่ะ มีความสุข ได้อยู่กับครอบครัว ระหว่างความสุขที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว มันมีความทุกข์ปะปนอยู่ด้วยเสมอเราต้องเข้มแข็งให้ได้ในทุกเรื่องตั้งแต่เด็กด้วยความเป็นพี่คนโตที่สุดของบ้าน ทำอะไรต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ที่บ้านมากที่สุด ทุกอย่างในชีวิตเราเหมือนต้องแข่งขันตลอดเวลา ทั้งเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต หลายๆคนที่มองมาที่ครอบครัวเรามักจะมองว่าอบอุ่น น่ารัก ครอบครัวใหญ่ดูรักกันดีจัง บางคนอิจฉาก็มี หลังจากทุกคนได้อ่านบทความนี้ เราขอเป็นกระบอกเสียงหรือกำลังใจให้กับทุกคนนะคะ หลายๆคนคิดว่าการเป็นโรคนี้ต้องเกิดจากความผิดหวังแรงๆ แบบที่แรงมากๆ จนรับไม่ได้ เลยทำให้ตัวเองรู้สึกหดหู่ ความคิดแบบนี้ไม่ผิดค่ะตอนแรกเราก็เข้าใจแบบนั้นเหมือนกัน จนเรามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดจากคนใน "ครอบครัว" ที่ทำให้เราต้องพบแพทย์เพื่อรักษา อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยใช่ไหมค่ะ ว่าเรื่องอะไร? ทำไมมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราตั้งแต่เด็กๆ จะมีการการถูกกระทำด้วยคำพูดดูถูก ด้วยการด่าทอ ด้วยการถูกเปรียบเทียบ ด้วยการถูกมองข้าม ทุกอย่างดูไม่ยุติธรรมกับเราเลย ชีวิตเราอยู่ในกรอบในระเบียบ ตามแผนของผู้ใหญ่เขาเป๊ะๆ ไม่มีนอกลู่นอกทาง แต่สิ่งที่เราได้รับกลับมา เราไม่เคยได้รับคำชม หรือคำยินดีใดๆออกมาจากปาก ต่อให้เราทำดีแค่ไหน เขาก็มองว่าเรายังดีไม่พอ ต้องดีกว่านี้สิ่ ทำไมคนอื่นเขายังทำได้เลยทำไมเราจะทำไม่ได้ ทุกอย่างมีเท่ากันหมด พอนานๆเข้า เริ่มมีอาการอยากอยู่คนเดียว อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ เก็บตัว ไม่อยากเล่าเรื่องต่างๆให้ใครฟัง กรีดข้อมือ หยิกแขน สารพัดที่จะทำให้เรารู้สึกเจ็บที่สุด ด้วยวัยในตอนนั้นเราเลยมองแค่ว่า อาจะเข้าวัยรุ่นเลยทำให้เรามีอาการแบบนี้ แต่พอนานวันเข้า เราเริ่มรู้สึกตัวว่ามันไม่ใช่แล้ว ทำไมคนเราจะมีความสุขไม่ได้เลยหรอ ? ทุกคนเชื่อไหมว่า เราพยายามนึกถึงความสุขในวัยเด็กของเราให้มากที่สุด แต่เรากลับจดจำได้แต่สิ่งที่เลวร้ายกับเราทุกเรื่อง เราคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง ด้วยการกินยา แต่ทุกครั้งจะมีคนช่วยไว้ตลอด ที่เรามาเล่าให้ ทุกคนฟังเราอยากให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เราเข้าใจ มองในมุมที่เรามอง เราไม่ได้ต้องการอะไร เราแค่อยากมีตัวตนบ้าง เราอยากมีความสุขบ้าง หลายครั้งที่คนในบ้านหาว่าเราคิดไปเอง บ้าหรือเปล่า คิดมากไม่มีใครเขาเป็นหรอก เชื่อไหมเราแย่มากแล้วแย่สะสม จนเราร้องไห้เวลาเดิมทุกวัน แอบร้องคนเดียว เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่อยากพบเจอใคร พยายามหาอะไรที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด แต่พยายาม ไปก็ไร้ค่า เรารู้สึกตัวเองเลยว่า เรามีความสุขน่ะแต่เหมือนมันสุขไม่สุด หลายคนอ่านคงตลกแหละ คนบ้าอะไรมีความสุขไม่สุด คนแบบเรานี่ไงค่ะ โรคที่กำลังเป็นที่นิยม "โรคซึมเศร้า" ไปหาหมอไม่มีใครเชื่อเราหรอกพูดกับเราว่า เป็นคนบ้าหรอต้องไปหาจิตแพทย์ วันแรกที่เราไปหาหมอ เราพูดอะไรไม่ออกเลย ถ้าพูดน้ำตาคือไหลทันที แต่แปลกนะคะ ที่พอเราได้คุยกับหมอ กลับรู้สึกสบายใจ ได้กำลังใจมากๆ แม้คำพูดไม่สวยหรู แต่รู้สึกถึงความเข้าใจ โอกาสหายจากโรคนี้ มีโอกาสค่ะ ขึ้นกับตัวผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด โรคนี้อย่ามองเป็นเรื่องขำๆนะคะ เวลาคุณเป็นขึ้นมาจริงๆ มันทรมาณกว่าการปวดหัว ปวดท้องเยอะเลย เวลาที่เรารู้สึกแย่ รู้ไหมว่าโลกที่สดใสมันเหมือนโดนครอบงำให้อยู่แต่ในห้วงของความคิดแย่ๆ ความรู้สึกแย่ๆ จนคนรอบข้างรู้สึกได้ว่าเราไม่โอเค แล้วทุกวันนี้ระหว่างที่เรารักษา คนที่เราต้องการให้เข้าใจมากที่สุดคือครอบครัว แต่เปล่าเลยคะ เขามองเราเหมือนเราไม่เป็น ยังคงทำร้ายเราด้วยคำพูดต่างๆนานา จนเรามองว่านี่หรอ คนที่เราหวังพึ่งมากที่สุด คนที่เรารักมากที่สุด คือ คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดเช่นกัน ตอนนี้เรารับการรักษามา 7 เดือนแล้วค่ะ ไปตามนัดตลอด ทานยาตลอด ถ้าเราลืมทานยาหรือเกิดอะไรขึ้น เราต้องเริ่มทานยาใหม่ตั้งแต่ต้นเหมือนการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เราได้ปรับยารอบที่ 2 แล้วค่ะ แต่สภาพแวดล้อมของเราก็ยังเหมือนเดิม และหนักกกว่าเดิมในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา จากตอนแรกที่ไปพบคุณหมอเราไม่ค่อยกล้าที่จะเอ่ยหรือสื่อสารอะไรออกไป ได้แต่ตอบคำถาม ในสิ่งที่คุณหมอว่า "เป็นไงบ้างรอบนี้" เราก็ตอบเหมือนกันทุกรอบคือ "ไม่ดีขึ้นเลยค่ะ รู้สึกแย่มากๆ" จนคุณหมอเริ่มสงสัยว่าทำไมเรา ยิ่งรักษายิ่งแย่ เริ่มตั้งคำถามใหม่ขึ้นมา "แล้วรู้ไหมว่าที่เราแย่เกิดมาจากอะไร" เราก็ตอบไปว่า "ครอบครัวค่ะ โดยเฉพาะแม่" หมอทำหน้าตกใจพร้อมทำตาโตใส่ ตั้งคำถามว่า "เขาทำอะไรให้เราหรอ" เราก็ตอบไปว่า "ทุกครั้งที่แม่เข้ามาพูดคุย จะมาในเชิงตั้งคำถาม ทำไม อย่างงั้น อย่างงี้ " อยู่บ่อยครั้ง จนบางทีการตั้งคำถามของเขาทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเราน่าสงสัยขนาดนั้นเลยหรอ คุณหมอเลยนัด 2 อาทิตย์ครั้งเพื่อดูอาการ เพราะเรามีอาการระแวง วิตกกังวล คิดมาก มากกว่าทุกครั้งที่มาพบหมอ ก่อนออกจากห้องตรวจ หมอจะย้ำบอกเสมอว่า " ไม่ไหวให้มาหาหมอนะ หมออยู่นี่ หมอมารักษาทุกวัน" เราได้ยิน เราก็ยิ้มนะคะ มันรู้สึกดีแบบแปลกๆ ที่คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นห่วงขนาดนี้ ^^ ตั้งแต่ที่เราได้รับการรักษา การทานยาช่วยได้เยอะไหม? กินยาแล้วหายเลยไหม? เป็นคำถามที่เราสงสัย จนเราได้ถามหมอ หมอเลยอธิบายว่า "ยาของหมอช่วยปรับฮอร์โมนในสมองของหนูนะ ของอย่างงี้มันอยู่ที่ตัวของหนู สังคมของหนู สภาพแวดล้อมของหนู ถ้าหนูรับมือได้ การรักษาด้วยยาใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าหนูรู้สึกว่า ทำไมยิ่งกินแล้วไม่ดีขึ้นเลย อันนี้หมอจะต้องถามสาเหตุจากหนูและช่วยหนูแก้" คุณหมอพูดจบพร้อมกับมองหน้าและต้องคำถาม "เวลาหนูรู้สึกแย่ หนูยังยั้งมือหรือยั้งคิดได้ใช่ไหม" เราเลยตอบไปว่า "ได้ค่ะ ความคิดมีอยู่แล้ว แต่จะลงมือทำบางทียังไม่ดัดขาดขนาดนั้น " พอหมอได้ยินอย่างนี้หมอก็ยิ้มละบอกว่า "อย่ามองว่าตัวเองด้อยค่า ไร้ค่า อย่าลดคุณค่าตัวเองนะ" พอได้ยินแบบนี้เรารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเป็น กอง รู้สึกดีทุกครั้งที่มาหาหมอ การรักษาโรคนี้ การรักษาจะยาวนานมากกว่าโรคอื่น เพราะเป็นการเจ็บป่วยที่สภาพจิตใจและความคิด โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วย มีความคิดเชิงลบมากกว่าคนทั่วๆไป น้อยเนื้อต่ำใจ โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง เก็บตัว พูดน้อย กลางคืนไม่นอน กลางวันง่วง ทุกอย่างสับสนปนเปไปหมด ในส่วนของยาที่คุณหมอให้มาทาน เขาจะไม่ให้เราแบบขั้นสุดเลยนะ หมอจะให้เราเริ่มรักษาตั้งแต่ยาอ่อนๆ ค่อยเป็นค่อยไป เราก็ต้องให้ความร่วมมือกับหมอโดยการทานยาให้ครบ ห้ามขาด เวลานัดไปตามนัด แล้วเราต้องรู้ตัวเราเองด้วยนะคะ เวลาไหนเราแย่ เวลาไหนเราไม่แย่ ส่วนมาก คนป่วย จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง ในส่วนเราเวลาที่เราแย่ๆ เราจะนั่งเฉยๆ ไม่พูดไม่จากับใคร อยู่กับตัวเอง หาอะไรทำ ขอแนะนำว่า อย่าไปเอาใครมาใส่ในใจมาก เพราะถ้าเราสนใจมากแล้วเขาไม่สนใจเราเหมือนที่เราสนใจ เราก็จะเก็บมาเครียดมาทุกข์ของเราเอง ทุกอย่างมีทางออกมีทางแก้ไข อยากให้ทุกคนตั้งใจ อย่าท้อ เป็นโรคนี้ยังทำงานได้นะคะ เราไม่ได้ทำร้ายใคร แต่บางทีเราต้องอดทนรับแรงกดดันให้ได้ดีด้วย อดทนอีกอย่างนึงอยากแนะนำเลยนะคะ อดทนต่อของหวานและต้องกินข้าวให้ได้ เพราะยาที่หมอจ่ายมา จะทำให้เบื่อข้าว อยากกินแต่ของหวาน สาวๆหลายคงใช้เป็นข้ออ้างแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ ขอบคุณทุกคนนะคะที่เข้ามาอ่านบทความนี้ เราตั้งใจถ่ายทอดและให้กำลังใจคนที่เป็นคล้าย ๆ กับเรา อย่าไปน้อยใจในโชคชะตานะคะ ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หรือใครที่อ่านแล้วรู้สึกว่า อาการแบบนี้ใช่หรือเปล่า แนะนำ ให้ไปพบหมอเลยคะ เพื่อตัวเราเองนะ อย่างน้อย ๆ เราก็ยังมีคุณหมอที่เข้าใจเรา อย่าคิดว่าการที่ไปพบหมอจิต คนต้องมองว่าเป็นบ้าแน่ๆ เราอยากจะบอกนะคะว่า แผนกจิตเวช ถ้าคุณได้ลองเข้าไปแล้ว จะรู้สึกถึงความห่วงใยจากหมอจากคนป่วยด้วยกัน จากพยาบาลที่ถามไถ่อาการเบื้องต้น มีดุบ้าง แนะนำบ้าง ดีใจกับเราบ้าง มันช่วยชาร์จแบตให้เราได้ในระดับนึงเลยนะคะ บทความนี้อาจจะเป็นบทความสั้น ๆ แต่เราเชื่อว่า คนที่อ่านน่าจะเข้าใจที่เราสื่อสารออกมาเราอยากให้กำลังใจทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหา ขอบคุณค่ะ JIDAPA K.