สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาภาพยนตร์ ปี 2 ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในเทอม 2 นี้ ผมได้เรียนวิชา Cinematography ซึ่งโดยรวมในวิชานี้ก็เป็นวิชาที่สอนตั้งแต่ความรู้เรื่องกล้อง เรื่องไฟ เรื่องไมค์ โดยรวมก็คือแทบทุกอย่างในเบื้องต้นสำหรับการออกกองถ่ายหนังนั่นแหละ โดยสำหรับในงานสุดท้าย (final) ของวิชานี้อาจารย์ได้ให้ทำการจับกลุ่มกันเพื่อที่จะได้นำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาตลอดเทอมไปออกกองถ่ายหนังสั้นกันจริงๆ ก่อนจะเริ่มการถ่ายทำกันพวกเราจำเป็นต้องประชุมกัน เพื่อตกลงเรื่องตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ภายในกอง รวมถึงเรื่องบท เรื่องสถานที่ถ่ายทำ และนักแสดงด้วย ในระหว่างเรียนอีกวิชาหนึ่ง เพื่อนๆ เหมือนมีการพูดถึงเรื่องการนัดประชุมกัน แต่...ผมพลาดในการไปประชุม... ผมรู้เรื่องอีกทีก็วันถัดมาแล้ว ก็ได้ความว่าจะไปถ่ายทำกันที่ 'หัวหิน' ผมค่อนข้างช็อคพอสมควร แต่หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้เรื่องว่า 'อาจารย์ไม่อนุญาติให้ไปไกลขนาดนั้น' ซึ่งผมก็โล่งอก... แต่เพื่อนๆ ก็ยังคงอยากไปถ่ายกันที่ต่างจังหวัด จึงวางแผนกันไปถ่ายทำที่ 'สระบุรี ณ เคียงคีรี รีสอร์ท' เมื่อพวกเรานัดแนะวัน-เวลาในถ่ายทำกันเรียบร้อย ก็เดินทางมาถึงวันเริ่มงานจริง ก่อนจะเริ่มถ่ายทำในวันแรก เราจำเป็นต้องยืมอุปกรณ์ต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัยเพื่อใช้ในการถ่ายทำจริงเกร็ดความรู้สำหรับผู้สนใจเรื่องงาน ProductionExt ย่อมาจาก exterior ใช้สำหรับซีนด้านนอกอาคาร ถ้าเป็นซีนภายในอาคารจะใช้ Int ย่อมาจาก interiorD คือ Day สำหรับซีนกลางวัน กลางคืนจะใช้ N (Night)MCU คือ Medium Close Up หรือ ช็อตแคบLS คือ Long Shot หรือ ช็อตกว้างDolly คือการใช้กล้องตั้งบนรางเลื่อน หากดูตามเวลาใน Breakdown ที่วางเอาไว้ พวกเราควรจะเริ่มถ่ายทำกันตอน 10 โมงเช้าและเลิกกองกันตอนเกือบ 11 โมง แต่ทว่า...เมื่อไปถึงที่ห้องยืมของ พวกเราพบว่ามันไม่เป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอน อุปกรณ์ที่เรารีเควสไปนั้นจำเป็นต้องรอกองอื่นๆ นำมาคืนก่อน (ช่วงนั้นประจวบเหมาะในช่วงใกล้ปิดภาคเรียน จึงมีการยืมของเพื่อไปถ่ายทำจำนวนมากๆ) กว่าพวกเราจะได้ของจริงๆ ก็คือตอนช่วงประมาณบ่ายโมง ซึ่งมันเลยเวลา breakdown ไปแน่ๆ แล้วล่ะ ในวันแรกเราเลยไม่ได้ถ่ายกันตามตารางเวลา หนังจากยืมของเรียบร้อย พวกเราก็รีบขนของขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำ โชคดีที่ในวันแรกนั้นพวกเราถ่ายกันในที่ไม่ไกลมากนัก นั่นคือ..ทะเลสาปหลังมอ ทันทีที่ถึงสถานที่ถ่ายทำ เราก็ขนของลงจากรถและทำการเซ็ทอุปกรณ์ถ่ายทำทันที ในวันแรกเรามีการถ่ายทำทั้งหมดเพียง 1 Scene 2 Cuts นั่นทำให้เรามีเวลามากพอสมควรสำหรับซีนสั้นๆ ซีนเดียว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเราก็ยังคงต้องแข่งกับเวลาของโลกอยู่ดี เราต้องถ่ายทำให้เสร็จสิ้นก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดลงเรื่อยๆ... ผมและเพื่อนอีกคน รับหน้าที่เป็นทีม Sound หน้าที่ของทีมเราไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก แค่อัดเสียงพูดของนักแสดงมาให้ชัดก็พอ ผมเป็นคนคอยกด Record และจูนระบบเสียง ส่วนเพื่อนผมทำหน้าที่ถือก้านบูม ร้องทำหน้าที่คอยจ่อไมค์ให้ตรงกับปากนักแสดง (ผมเคยต้องถือเช่นกัน เมื่อสมัยตอนออกกองปี 1 เมื่อยใช้ได้เลยล่ะ) 'เครื่องอัดเสียง' ตัวที่ผมถืออยู่นั้น ในตอนที่เรียนในห้องไม่ได้ใช้ตัวนี้ แม้แต่ตอนปี 1 ก็ไม่เคยใช้ตัวนี้ ในทีแรกก็ไม่ค่อยคุ้นมือแต่เมื่ออาจารย์สอนใช้ก็พอจะจับทางได้ในทันที ซึ่งเจ้าตัวเครื่องนี้มันดีกว่าตัวที่ผมเคยใช้พอสมควร (ราคาก็แพงกว่า...) มันสามารถตั้งค่า FPS ให้ตรงกับกล้องได้ด้วย ข้อเสียที่ผมเจอ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เชิงเป็นข้อเสียหรอก คือ มันใช้ถ่านถึง 8 ก้อน!! ซึ่งโดยปกติแล้วตัวที่ผมเคยใช้มา มันใช้เพียงแค่ 4 ก้อนเท่านั้น...จึงทำให้เราต้องเบิกงบกองเพื่อมาซื้อถ่านตุนเอาไว้พอสมควร เพราะเราไม่แน่ใจนักว่าถ่านเซ็ตหนึ่งจะใช้งานได้นานแค่ไหน พวกเราถ่ายทำกันจนถึงเวลาเกือบๆ ห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นเดทไลน์ที่แสงตะวันกำลังจะลับตาเข้าสู่ขอบฟ้าพอดี หลายสิ่งหลายอย่างในกองถ่ายวันแรกแม้จะยังไม่ค่อยไหลลื่นนัก แต่เราก็สามารถปิดกองวันแรกลงได้อย่างเรียบร้อย เมื่อเก็บของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อย เราก็นัดแนะกันเรื่องเวลาสำหรับวันพรุ่งนี้ วันที่สอง พวกเรานัดรวมพลกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเตรียมตัวและจะได้ออกทางไปยังสถานที่ถ่ายทำพร้อมๆ กัน เมื่อผมมาถึงยังที่นัดหมายก็พบว่าเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ได้มารออยู่แล้ว และไม่นานนักพวกเราก็ออกเดินทาง คันที่ผมนั่งไป คือ คันที่สองนับจากซ้าย บนรถเรามีกันทั้งหมดสามคนรวมคนขับ การเดินทางของผมครั้งนี้ค่อนข้างร้อนพอสมควร เพราะดูเหมือนว่ารถคันนี้จะไม่ได้ติดฟิล์ม... คันของเราไปถึงเป็นคันแรกๆ ทำให้เรามีเวลานั่งพักกันก่อนจะเริ่มทำงาน เพราะยังไงก็ต้องนั่งรอคันที่ขนอุปกรณ์มา เมื่อมาถึงกันครบแล้ว เราก็พักกินข้าวและช่วยกันขนอุปกรณ์ต่างๆ ลงมากันก่อนที่เริ่มถ่ายทำ Scene แรกของวัน เราเริ่มถ่ายกันที่ห้องพักของรีสอร์ท (ซึ่งเป็นห้องพักจริงๆ ที่เราเช่าและไว้ให้นักแสดงนอนพักกัน / ทีมงานส่วนใหญ่ก็นอนเต๊นท์กันไป) พวกเราทีมเสียง ต้องมาหลบอยู่ห้องข้างๆ เพื่อที่จะได้ไม่ติดในเฟรมกล้อง ส่วนทีมกำกับก็คอยดูมอนิเตอร์กันอยู่หลังบ้าน ซึ่งตรงนี้ทำให้สื่อสารกับทีมกล้องที่อยู่ในบ้านค่อนข้างลำบากพอสมควร เพราะกองถ่ายของเราไม่มีวอสื่อสารกัน (คิดว่าไม่จำเป็น) ทีมกล้องและทีมกำกับจึงจำเป็นต้องตะโกนคุยกันอยู่พักหนึ่งกว่าจะผ่านซีนนี้ไป Scene ต่อมาเป็นซีนด้านนอก นักแสดงจะขับรถตรงมาจากทางเข้าของรีสอร์ทและจอดรถลงวิ่งกันไปยังห้องพัก เราถ่ายซีนนี้กันตอนเวลาบ่ายโมงกว่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนนรกแตกมากๆ แม้ว่าเราจะอยู่กลางหุบเขาที่มีต้นไม้สีเขียวชะอุ่มห้อมล้อม แต่ช่วงกลางวันที่ไร้ซึ่งก้อนเมฆคอยปกคลุม ไร้วี่แววของลมที่จะพัดผ่าน ทำให้อากาศในตอนนั้นร้อนเผาหัวแบบสุดๆ ทีมงานบางส่วนที่ว่างจึงต้องมาคอยช่วยกางร่มให้ทีมกล้องและทีมเสียงกัน หลังจากถ่ายทำซีนเสร็จนี้พวกเราตัดสินใจพักกองกันเพื่อรอแสงที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทำ ทีมงานและนักแสดงบางส่วนก็ไปนอนพักผ่อน บางคนก็ไปเปิดแอร์นอนในห้องพัก บางคนก็ถึงกับสตาร์ทรถนอนเปิดแอร์กันเลย ส่วนผมก็นั่งเล่นชิลล์ๆ อยู่ใต้ต้นแถวนั้น เมื่อถึงช่วงเวลาใกล้ค่ำ ก็ได้เวลาถ่ายทำกันต่อ พวกเราขึ้นมาถ่ายทำกันบนดาดฟ้าของห้องพักที่เราถ่ายเมื่อเช้า แสงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าพอดี เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่าเป็นช่วงที่แสงสวยที่สุด ซึ่งพวกเราก็ร้อนรนอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะกลัวว่าดวงอาทิตย์จะลับฟ้าก่อนที่จะได้ช็อตที่ต้องการ แต่แล้วในระหว่างการถ่ายทำ... เกิดเหตุน่าสลดขึ้นกับพื้นไม้ของบันไดขึ้น ขาของ Producer เกิดทะลุลงไปในพื้นไม้บันได ซึ่งโชคดีที่พื้น...เอ้ย! โปรดิวเซอร์ไม่เป็นอะไรมาก จนในที่สุดพวกเราก็ถ่ายทำซีนนี้กันได้สำเร็จลุล่วง เมื่อย้ายไปถ่ายซีนต่อไปก็ฟ้ามืดพอดี ซึ่งเป็นซีนที่จำเป็นต้องมี extra โดยเพื่อนทีมเสียงของผมต้องเป็นคนไปเล่น ผมจึงได้ทีมงานและนักแสดงมาช่วยถือไมค์ หลังที่ถ่ายทำอีกซีนหนึ่งเสร็จพวกเราก็พักกองกันอีกครั้ง เพื่อจะได้กินข้าวกินน้ำกัน โดยที่เราได้สั่งข้าวกับทางรีสอร์ทให้เขาจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่ากินดีแน่นอน หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เราก็ถ่ายทำกันต่อสำหรับซีนกลางคืน มีการจัดไฟเพื่อให้ได้แสงตามที่ผู้กำกับต้องการ ซึ่งไฟสำหรับการถ่ายทำนั้นเราได้ทำการขอทางรีสอร์ทเพื่อต่อปลั๊กไฟใช้ของรีสอร์ท ในตอนแรกเราก็กลัวว่าไฟของทางรีสอร์ทจะพอไหม (เราใช้ประมาณ 2 ดวง) แต่สุดท้ายก็สามารถผ่านไปได้อย่างต่อได้อย่างปกติ (ค่าไฟของทางรีสอร์ทเดือนนี้คงไม่ปกติแน่ๆ) ในตอนแรกนั้นทางผู้กำกับบอกให้ทีมเสียงอย่างพวกผมเซ็ตต่อไมค์รอไว้ให้พร้อม ผมจึงต่อเตรียมพร้อมไว้อย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริง ผู้กำกับดันบอกว่าไม่เอาเสียงนักแสดงแล้ว...พวกเราทีมเสียงจึงหงอยๆ พอสมควร เพราะเราแสตนบายด์รออยู่นานสักพักเลยล่ะ...แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็สบายล่ะ จะได้ทำตัวชิลล์ๆ กันไป ในซีนนี้นั้นผู้กำกับใช้เทคนิคการถ่ายทำโดยการให้นักแสดงเล่นกันไปเลย เพื่อพยายามให้ได้ฟีลลิ่งของความสนุกสนานกันจริงๆ โดยที่จะไม่มีการสั่ง action แต่จะถ่ายจริงกันยาวไปเลย จนกว่าจะได้ช็อตที่ต้องการ หลังจากนั้นเราก็ย้ายไปถ่ายกันอีกซีนหนึ่ง มันเป็นซีนที่จะถ่ายนักแสดงบนรถ ซึ่งซีนนี้ใช้เสียงด้วย แต่เพื่อนผมไม่จำเป็นต้องลำบากถือละ เพราะผมนำตัวไมค์ไปใส่ไว้ในรถเลย...เมื่อถ่ายซีนนี้เสร็จพวกเราก็แยกย้ายกันเก็บของและแยกกันไปทำธุระส่สนตัว บางคนก็นอนเลยแต่บางคนก็อาบน้ำก่อน ผมต้องการจะอาบน้ำก่อนนอน แต่ด้วยแรงจูงใจบางอย่างในตอนนั้นทำให้ผมเลือกที่จะไปอาบน้ำห้องข้างนอกห้องพัก...ซึ่งมันไม่มีน้ำอุ่น ที่นั่นในช่วงเวลาประมาณตี 2 อากาศเย็นเฉียบต่างจากตอนเช้าโดยสิ้นเชิง ด้วยบรรยากาศกลางหุบเขาทำให้อากาศเย็นจนหนาวสั่นเลยล่ะ แต่ผมก็เลือกที่จะอาบน้ำด้วยเหตุผลว่า...อยากอาบ ด้วยความที่ติดนิสัยต้องอาบน้ำก่อนนอน จึงเข้าไปผจญกับอุณหภูมิอันโหดร้ายของน้ำ เมื่อออกมาได้... กลายเป็นว่า ผมไม่ง่วงอีกแล้ว ผมมั่นใจว่าสามารถอยู่ได้ยันเช้าแน่ๆ ขณะที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมพบเพื่อนนั่งคุยเล่นกันอยู่ 3 คน ผมจึงเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย พวกเรานั่งคุยเล่นเพลินๆ กันไปจนถึงเช้า เราลากยาวกันมาถึงช่วงเวลาประมาณตี 4 ครึ่ง สภาพก็อย่างที่เห็น... ในตอนนั้นเป็นเวลาที่กองนัดให้ทุกคนตื่นมาพอดี แต่ดูเหมือนว่าจะยังตื่นกันไม่ดีนัก พวกเรา 4 คนที่นั่งคุยกันลากยาวมาเริ่มจะหมดสภาพ ผมที่ผจญน้ำเย็นๆ มา เป็นคนเดียวที่เหลือรอด ตอนตี 5 ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกเรา ซึ่งแน่นอนพวกเรา 'ยามเฝ้ากองทั้ง 4' คือกลุ่มแรกที่ได้ทานอาหารเช้านี้ เมื่อทานเสร็จผมก็ซัดกาแฟไป 3 แก้ว เพื่อจะได้ไม่สลบในตอนเริ่มงาน หลังจากทีมงานทุกคนเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางจากรีสอร์ทเพื่อมาถ่ายในซีนด้านนอก ซึ่งเป็นซีนรถชนต้นไม้ เรามาถึงยังสถานที่ถ่ายทำช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ในซีนนี้นักแสดงต้องแต่งหน้าเปื้อนเลือด (เพราะตายซีนนี้) ทีมเสียงเราไม่ได้ต้องอะไรมากนัก เพราะซีนนี้ไม่ใช้เสียง ผมที่เพลียจากการอดหลับอดนอนจึงได้มีเวลาพักผ่อนขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้น เราก็ย้ายกันไปถ่ายทำที่น้ำตก ซึ่งสภาพของผมในตอนนั้นเพลียสุดขีด สติเริ่มไม่ไหวแล้ว ยังดีที่เมื่อเราไปถึงน้ำตก ทางกองต้องรออะไรไม่รู้(จำไม่ได้เนื่องจากขาดสติไปแล้ว) ผมจึงได้มีเวลาหลับบนรถอีกสักพัก เมื่อผมฟื้นขึ้นมาก็ดูเหมือนว่าใกล้จะได้เริ่มถ่ายแล้ว และข้าวกองก็มาแล้ว เราจึงกินข้าวกันก่อนจะเริ่มถ่าย การถ่ายทำซีนนี้ใช้เสียงด้วย พวกเราทีมเสียงจึงต้องข้ามธารน้ำตกไปนั่งอยู่บนโขดหิน ซึ่งก็มีเรื่องน่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน ผมคิดเรื่องเผลอพลัดตกน้ำและอุปกรณ์พังเสียหายอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้น...และเราก็ถ่ายทำซีนนี้จบ ซึ่งเป็นซีนสุดท้าย เราจึงได้ปิดกองกันเสียที เมื่อปิดกองเรียบร้อย เราก็เก็บของขึ้นรถและมุ่งหน้ากลับไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อคืนของในทันที ในขากลับนั้นผมได้ใช้เวลาหลับบนรถอย่างเต็มที่ ฟื้นอีกทีก็คือถึงมหาวิทยาลัยแล้ว...ชมคลิปวิดีโอเบื้องหลังเต็มๆได้บน YoutubeInstagram: jmj.jimmy