ครั้งหนึ่งเราเคยไปเป็นวิทยากรอาสาสมัครอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้เข้าใจถึงหลักในการจัดการที่ถูกต้องท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้กลางทุ่งนาลมเย็นๆพร้อมกับเกษตรกรทั้งหมู่บ้านที่พากันทำกับข้าว หาเครื่องดื่ม มาแบ่งปันและที่ขาดไม่ได้คือกับแกล้ม อย่างจิ้งหรีดเอามาทอดสดๆตรงนั้นแล้วเคี้ยวกันกรุบกรับแลดูน่าอร่อย พอวันหนึ่งได้มาเห็นชาวบ้านเพาะเลี้ยงจิ้งหรีด ความทรงจำดีๆในวันนั้นก็ไหลย้อนมาที่นี่เพชรบูรณ์ ชาวบ้านเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริมกันเยอะมาก เขาเล่าให้ฟังว่า การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดนี้ใช้ต้นทุนต่ำ พื้นที่น้อย เลี้ยงง่าย น้ำอาหารก็ไม่เปลือง แถมลูกค้าก็เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จะว่าไปแล้วแมลงนี่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีให้คุณค่าทางสารอาหารสูงยิ่งกว่าพวกเนื้อสัตว์ และ ยังเป็นกับแกล้มชั้นยอดสำหรับลูกค้าบางกลุ่มเขาแอบกระซิบบอกว่าจิ้งหรีดสายพันธุ์ทองดำของที่นี่ขายดีด้วยนะ กะบะหนึ่งขนาด 1.5 เมตร * 3 เมตร ได้จิ้งหรีดประมาณ 6 กิโลกรัม ราคาขาย 90 บาท ต่อกิโลกรัม ได้เงิน 540 บาทต่อกะบะ ระยะการเลี้ยงอยู่ที่ 30 วัน ก็แค่ให้อาหารเช้าเย็น ตัวเล็กกินน้อยตามขนาดตัว เลี้ยงง่าย เริ่มจากเอาแผงไข่มาเรียงให้เต็ม ประหนึ่งเป็นบ้านและที่หลบซ่อนตัวของจิ้งหรีด และแล้วก็ถึงเวลาเอาจิ้งหรีดไข่มาฟัก แม่1ตัว สามารถมีลูกได้ถึง 600 ตัว จากนั้นก็หาอาหารแบบผงสำเร็จรูปและน้ำมาให้กิน มีพื้นที่วางไข่ที่อบอุ่นเพียงพอ ส่วนที่ต้องระวังเป็นพิเศษหนีไม่พ้นมด จิ้งจก ที่พยายามจะเข้ามาตอดเล็มจิ้งหรีดน้อยของเรา ใช้เวลา 30 วัน ตัวผู้ก็จะส่งเสียงร้องใสๆประสานเสียงกันทั้งคอก เป็นอันรู้กันว่าพวกเขาพร้อมผสมพันธุ์เพื่อมีลูกอ่อนกัน พอจิ้งหรีดตัวเมียเริ่มวางไข่ รอสัก 2-3 วันก็จัดการจับขายได้เลย ส่วนลูกๆก็เอาไปฟักต่อที่คอกอื่นจริงๆแล้วการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียทางเลือกที่จะจับเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม เพราะแนวโน้มการบริโภคแมลงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจิ้งหรีดเองก็สามารถเข้ามามีบทบาทในอาหารทดแทนในโลกอนาคตได้อย่างไม่ยากเย็น ที่มารูปภาพทั้งหมด : ผู้เขียน