สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับผมเชื่อว่าใครหลายคนก็มีสถานที่ที่เราประทับใจเสมอกับการที่เราได้ไปเที่ยวในที่แห่งนั้น และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ ที่ผมประทับใจมาก ยิ่งเพื่อน ๆ คนไหนที่ชื่นชอบการเดินทางแบบ “สองล้อ” อย่างผมแน่นอนครับว่า ภูทับเบิกถือเป็นสวรรค์ของเหล่านักบิดที่ใครถ้าชื่นชอบในการเดินทางแบบสองล้อสักครั้งหนึ่งต้องได้ไปเยือนที่แห่งนี้แน่นอน กับการเดินทางในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นแนวทางของใครหลายคนที่กำลังมองหาที่ท่องเที่ยว ทั้งการเดินทาง และค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่จะใช้ในการเดินทาง กับประสบการณ์สุดประทับใจระหว่างการเดินทาง ในวันของการเดินทาง สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ผมก็มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยอีก 1 คนนะครับ พวกเราเริ่มต้นที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่อำเภอ บัวใหญ่ จังหวัด นครราชสีมา ระยะทางที่เราจะใช้ในการเดินทางครั้งนี้ก็ประมาณ 279 กม. นะครับ ก่อนการเดินทาง ผมก็ได้เติมน้ำมันรถเต็มถังไปที่ 200 บาทนะครับ เราเริ่มออกเดินทางเวลา ตี 4 กว่า ๆ ซึ่งเส้นทางที่เราจะใช้ในการเดินทางคร่าว ๆ นะครับ เราก็จะเดินทางเข้าจังหวัด ชัยภูมิ โดยผ่านทางอำเภอ คอนสวรรค์ เข้าแก้งคร้อ ต่อไปที่ อำเภอ ภูเขียว หลังจากนั้น จะใช้เส้นทางลัดของ ถนนทางหลวงชนบท ชย 2004 เพื่อไปต่อที่อำเภอ คอนสาร ก่อนที่จะเข้า อุทยานแห่งชาติ น้ำหนาว และก็เข้าสู่จังหวัดเพรชบูรณ์ เราเริ่มต้นเดินทาง บรรยากาศของสองข้างทางในเวลาตี 4 เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากในการเดินทางพอสมควรเพราะข้างทางนั้นก็ไม่มีไฟข้างทางเลย ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการเดินทาง การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซสำคัญมากของสัญลักษณ์ท่าทางในการบอกเพื่อนร่วมทาง ว่าในข้างหน้าของเรานั้นมีอะไรขวางอยู่ หรือถนนไม่ดีรึเปล่า เพราะฉนั้นถือว่าสำคัญมากเพราะเพื่อนที่ตามมาก็แทบจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากไลน์รถที่เราวิ่งนำ เราเดินทางมาสักพักก็เข้าสู่ อำเภอแก้งคร้อ เราแวะปั๊มที่นั่นเป็นที่แรกของการเดินทางมาสักพัก เพื่อนผมก็เริ่มเติมน้ำมันเป็นรอบที่สอง นั่นคือข้อดีของรถใหญ่ คือเราจะไม่ต้องเติมน้ำมันหลายครั้ง ฮ่า ๆ ๆ หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางต่อ บรรยากาศสองข้างทางเริ่มมีแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ขึ้นในเวลาเช้า ทำให้เราได้เห็นความสวยงามของสองข้างทางที่เราได้ขี่ผ่านมา ในช่วงเวลานั้นมันทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า ความสุขของการเดินทางมันเป็นยังไง เราใช้เวลามาสักพัก ก็เริ่มเข้าสู่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว หลังจากที่เริ่มเดินทางเข้าสู่น้ำหนาว มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากครับสำหรับนักเดินทางสองล้ออย่างเรา ๆ เพราะสองข้างทางนั้นสวยมาก แสงที่กำลังสาดส่องมาเป็นระยะ ๆ ในช่วงเช้า บวกกับอากาศที่เย็นพอดี มันทำให้ความรู้สึกที่เรากำลังเดินทางในตอนนั้นมันสนุกมาก เมื่อเพื่อนบอกว่า ถ้าอยากจะเล่นโค้งเล่นอะไรก็เต็มที่เลยนะเพื่อน ฮ่า ๆ ๆ เพื่อนสองล้อน่าจะเข้าใจกันดี ในระหว่างทางนั้น ผมก็เต็มที่เลยครับ ถ้าว่าเข่าแตะพื้นได้ก็คงจะทำไปแล้ว ฮ่า ๆ หลังจากเดินทางมาสักพักเราก็มาแวะพักรถ ที่จุดชมวิวอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว บรรยากาศที่เห็นตอนนั้นก็ทำให้เรารู้สึกแล้วว่า การที่เราได้ออกเดินทางไปไหนสักแห่ง มันมากกว่าปลายทางที่เราจะไปถึงจริง ๆ เราใช้เวลาเดินทางในอุทยานน้ำหนาวประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ออกมาจากน้ำหนาว เข้า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพรชบูรณ์ เราก็แวะปั๊มน้ำมันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถังเวลาขึ้นเขาลงเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันในรถ ผมเติมเต็มถังไปอีก 150 บาท เราก็แวะพักยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะขึ้นเขา เราเดินทางขึ้นมาบนเขาได้สักครึ่งทาง นี่ก็เป็นบรรยากาศระหว่างทางขึ้นภูทับเบิก เราเดินทางไปถึงตอนนั้นประมาณ 9 โมงกว่า ๆ เราก็ได้แวะถ่ายภาพบรรยากาศนะตอนนั้นเพราะมันอดใจไม่ไหวจริง ๆ กับสิ่งที่ตาเราเห็นในตอนนั้น พอถึงจุดนี้ภาพเหล่านี้ที่เรากำลังยืนมองมันทำให้ความคิดในหัวของเราว่างเปล่า ความเครียดต่าง ๆ ความทุกข์ มันได้พลันหายไปอย่างปริดทิ้ง อยู่ดี ๆ รอยยิ้มที่มุมปากก็พลุดขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ พอเราเผลอได้สักครู่งหนึ่งในขณะที่เรากำลังสูดอากาศที่สดชื่นเข้าปอดพร้อมกับภาพบรรยากาศที่ไม่ได้หาดูได้ง่าย ๆ ก็เริ่มจางหายไป และถูกบดบังจากเจ้าหมอกขาว ๆ ที่เข้ามาปกคลุมในตอนนั้น หลังจากที่เราได้เติมเต็มกับบรรยากาศสองข้างทางแล้ว เราก็เริ่มเดินทางต่อ สิ่งที่ผมใฝ่ฝันมานานคือการที่เราได้ขี่รถไปพร้อมกับสายหมอก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็เป็นอย่างที่ใจฝันมา สายหมอกที่ลอยลงมาปิดบังท้องถนน มันอาจทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่มากยิ่งขึ้นแต่นอกเหนือจากนั้นคือความรู้สึกของสายหมอกที่ลอยปะทะหน้าของเราในตอนขับขี่ อะไรมันจะสุดได้ขนาดนั้น หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้เดินทางมาถึงยอดเขาภูทับเบิก เวลาประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ซึ่งเราใช้เวลาในการเดินทางรวม ๆ แล้วก็ประมาณ 5 ชั่วโมง เป็นเวลาที่นานพอสมควรบนหลังรถมอเตอร์ไซ แต่สิ่งที่เห็นเมื่อมาถึงยอดภูทับเบิกเราก็ลืมความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่เรามีมาเลย พอเที่ยงหมอกก็เริ่มจางหายไป หลังจากนั้นเราก็ไม่รีรอเริ่มหาที่พักกัน ใครที่ตั้งใจจะไปรับบรรยากาศเต็ม ๆ ที่ภูทับเบิกก็สามารถหาที่พักบนเขาได้เลยนะครับ แต่ราคาก็ค่อนข้างที่จะสูงกันพอสมควร แต่ครั้งนี้ เพื่อนผมได้เตรียมเต็นท์มาด้วยเราก็เลยเลือกที่จะนอนเต็นท์กัน เราก็ได้ไปติดต่อสถานที่ในการกางเต็นท์ของกลุ่มชุมชนรัฐวิสาหกิจ เราได้เช่าผ้าปูผ้าใบมาสองผืนเพราะคิดไว้แล้วว่าคืนนี้อาจจะเจอฝนก็ได้ และก็ผ้าห่มผืนหนึ่ง รวมค่าใช้จ่ายในการกางเต็นท์ก็ตกคนละ 300 บาทไม่รวมค่ามัดจำ 200 บาทนะครับ หลังจากนั้นเราก็เริ่มกางเต็นท์กัน หลังจากเสร็จจากการกางเต็นท์ความหิวก็เริ่มครอบงำเราสองคน เราก็ไม่รีรอและรอช้าที่จะหาอะไรมาลงท้องของเราสองคนก็จัดไปกับ ร้านอาหารแถวนั้น ราคาของอาหารก็ตกอยู่ประมาณจานละ 60-70 บาท เป็นข้าวจานเดียวนะครับ ถ้าเป็นกับข้าวก็จะสูงขึ้นไปอีก หลังจากที่เราเติมพลังกันเต็มเปี่ยมแล้ว ก็พากันขี่รถออกไปเที่ยวชมบรรยากาศแถวนั้นต่ออย่างใจจดใจจ่อ ไร่กะหล่ำชาวม้ง เส้นทาง 111 โค้งภูทับเบิกที่เราเดินทางขึ้นมา หลังจากที่เราเริ่มเหนื่อยล้าเพราะรวมมาจากการที่เราเดินทางมาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ก็ปาไป บ่ายกว่า ๆ เราก็เลยตกลงกันว่าไปหาร้านกาแฟนั่งชิว ๆ ชมบรรยากาศช่วงบ่ายเพื่อรอเวลาที่เราจะไปที่ผาหัวสิงห์ในตอนเย็น คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับว่าบรรยากาศของการกินกาแฟในตอนนั้นมันเป็นยังไง ฟินสุด ๆ ๆ หลังจากที่เราดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟหลักร้อยวิวหลักล้านไปแล้วเวลาก็ได้ล่วงเลยมาตามที่เรากำหนดกัน เราก็ได้เริ่มขี่รถกันออกไปที่ผาหัวสิงห์ที่เราได้แพลนไว้ในตอนนั้นและสิ่งที่เราเห็นในตอนนั้น บรรยากาศบนผาหัวสิงห์ ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าความรู้สึกที่ตาเห็นในตอนนั้นสิ่งที่มันอยู่ต่อหน้าเรา ทุกเรื่องราวที่ในแต่ละวันที่ผ่าน ๆ มา มันกลับลืมความวุ่นวายต่าง ๆ รอบตัว มันว่างเปล่า มันรู้สึกดี มันสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ครับไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้เรารู้สึกได้ขนาดนี้ ไม่รอช้าที่จะเริ่มเก็บภาพต่อ ในทริปนี้ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้เลยเพราะเขาแท้ ๆ ถึงได้มีภาพสวย ๆ ให้กับผม หลังจากนั้นไม่นานเจ้าฝนก็เริ่มเคลื่อนตัวให้เราเห็น เมฆดำก่อตัวกันบนฟ้าอยู่ต่อหน้าของเรา เราสองคนมองหน้ากันแทบไม่ต้องพูดอะไรกันก็เข้าใจกันได้ดี หลังจากที่เราเติมเต็มกับบรรยากาศต่อหน้าแล้วเราก็คงต้องกลับเพราะเป็นกังวลว่าฝนนั้นจะตกลงมาในที่ ที่เราพักเราเดินทางกลับมาถึงที่พักของเรา ก็เป็นช่วงเวลาประมาณ เกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว สิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิดก็มาจนได้ ฝนเริ่มริน ๆ อย่างช้า ๆ เราสองคนจึงต้องรีบเร่งภารกิจส่วนตัวเพื่อให้เสร็จก่อนเวลาเพราะถ้าดึกจนเกินไปสถานที่แห่งนี้จะงดการใช้ไฟฟ้าหลัง 4 ทุ่ม นี่ละน่าที่เขาเรียกกันว่าดาวบนดิน เราเตรียมที่นอนกันเรียบร้อยก็ไม่ช้าที่เราจะพักผ่อนเพื่อลุ้นกันว่าในวันพรุ่งนี้ของเราจะได้เห็นในสิ่งที่เราหวังกันไว้หรือเปล่า แต่ในเวลาไม่นานสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดฝนเริ่มตกลงมาตั้งแต่ เวลาเที่ยงคืน ทำให้เราเป็นกังวลกันอย่างมากว่า เต็นท์ของเราจะพังลงมาหรือเปล่า น้ำจะซึมเข้ามาเต็นท์มากไหม เพราะลมแรงมากทำให้ผ้าใบเปิดออกมา เราหลับ ๆ ตื่น ๆ กันอยู่ทั้งคืน จนเวลาก็ล่วงเลยมาจนเช้า เราก็ลุกออกมาจากเต็นท์เพื่อต่างคนต่างไปเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัวในเวลานั้นหมอกหนาตาจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย เวลาทั้งคืนที่เราต้องพะวงกับฝน ผจญกับความเหนื่อยล้าของการเดินทาง แต่สิ่งที่เห็นในตอนเช้า... ให้ภาพอธิบายความรู้สึกของผมแทน ผมไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ความงดงามตระการตา ทำให้ช่วงเวลาตรงนั้นของผมเหมือนหยุดนิ่งไปตรงนั้น ได้แต่ยืนมองไปรอบ ๆ มองไปข้างหน้ามันทำให้เราคิดได้ว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะออกมาสำรวจโลกภายนอกเช่นนี้ หลังจากสูดอากาศเต็มอิ่มแล้วก็ต้องเติมพลังให้ท้องต่อ เสร็จจากการกินข้าวแล้วเราก็มาเก็บที่นอนกันเพื่อเตรียมตัวจะกลับและก่อนกลับเราจะแวะไปเขาค้อเพื่อไปไหว้พระธาตุผาซ่อนแก้ว เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนการเดินทางกลับบ้านเรา และแวะชิมกาแฟชมบรรยากาศก่อนกลับ หลังจากเก็บของเรียบร้อยเราก็เริ่มลงจากเขาเพื่อเดินทางไปต่อที่เขาค้อ บรรยากาศสองข้างทางยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากยอดเขายังคงเต็มไปด้วยหมอกปะทะใบหน้าตลอดทางที่ลงมา ทางลาดชัน กับสายลมหมอกคอยย้ำให้เราคิดอยู่ตลอดว่าเราควรระมัดระวังในการเดินทางของเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งตัวเราเองและเพื่อนร่วมทาง ในไม่ช้าเราก็เดินทางมาถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วแห่งเขาค้อ ความสวยงามของวัดนั้นสมคำล่ำลือจริง ๆ ไหว้พระ สักการะเรียบร้อยเราก็ขี่รถไปต่ออีกประมาณ 2 กม. เพื่อจะไปร้านกาแฟ ปิโนลาเต้ เพื่อชิมกาแฟพร้อมกับชมบรรยากาศสุดสวยก่อนที่จะเดินทางกลับ สุดท้ายนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่หมดไปกับทริปนี้ก็อยู่ประมาณ 1500 บาทรวมค่าเดินทางจิปาถะ ระหว่างทางต่าง ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการที่เราได้ออกเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยไป การที่เราได้ลงมือทำมันในสิ่งที่มันคือความสุขของเราทำมันเถอะครับ อย่าให้เหมือนคำที่เขาว่า มีเงินแต่ไม่มีเวลา มีเวลาแต่ไม่มีเงิน ในขณะที่เราสามารถจะทำมันได้ ถ้าวันใดวันหนึ่งเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังว่าทำไมตอนนั้นเรามีโอกาสเราไม่ทำเราไม่ออกไป ในขณะที่เราก้าวออกมาจากเซฟโซนของเรามันอาจจะเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของเพื่อน ๆ ได้เลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางของเพื่อน ๆ ที่จะชวนให้เพื่อน ๆ ออกมาท่องโลกกว้างทำชีวิตให้มีความสุขที่สุดในขณะที่เรายังทำมันได้กันเถอะครับ ภาพประกอบ : ผู้เขียน