เมื่อพูดถึงการออกไปท่องเที่ยวใช้ชีวิตกางแจ้งด้วยการออกไปนอนกางเต็นท์หลายมักจะเกิดคำถามในใจที่ตามมามากมายว่า กินอยู่แบบไหน ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบายแค่ไหน แต่พวกเราอยากแนะนำให้ลองเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพราะเมื่อเริ่มเก็บกระเป๋าและอุปกรณ์สำหรับการแค้มปิ้งเราก็เริ่มลืมคำถามที่กลัวในใจเหล่านั้นลงไป มีงานวิจัยของ University of Exeter สรุปไว้ว่ากลุ่มคนที่ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและป่าเขาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะทำให้มีสุขภาพกายและใจมากกว่าคนที่ไม่ออกไปเลยตลอดสัปดาห์ พวกเราตั้งใจว่าครั้งนี้เราจะไปกัน2 วัน 1 คืน ถ้าคิดตามผลสรุปจากงานวิจัยนี้พวกเราก็จะมีสุขภาพกายและใจที่ดีเพิ่มขึ้นอีกมากมายเลยที่เดียว การเดินทางในครั้งนี้เรานัดหมายกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มชอบออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง(หรือที่เรียกว่าแค้มปิ้ง)เหมือนกัน ในการไปแค้มปิ้งในครั้งนี้เรามีเวลาในการออกเดินทางไปที่ไม่พร้อมกันจึงทำให้สมาชิกต่างคนต่างเดินทางเราเดินทางด้วยรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และรถโดยสารประจำทาง โดยจุดหมายปลายทางของพวกเราคือที่ อุทานแห่งชาติน้ำหนาว ที่นี่มีลานกางเต็นท์หลักอยู่ประมาณ 3 ลาน โดยนับจากจุดบริการห้องน้ำของอุทยานเราเลือกลานที่กว้างที่สุดของอุทยาน พวกเรามาในถึงช่วงบ่ายแต่ละคนก็เริ่มจัดแจงข้าวของและเริ่มหาพื้นที่กางเต็นท์เราได้ทำเลใต้ต้นสนและไม่ไกลจากห้องน้ำมากซึ่งต่างคนต่างเลือกจับจองมุมเล็กๆในการกางเต็นท์ของตัวเองหลังจากกางเต็นท์เสร็จสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเตรียมประกอบอาหารสำหรับมื้อเย็น แต่ละคนก็เตรียมทั้งอาหารสดและอาหารแห้งมาตามที่แต่ละคนชอบ พวกเราตกลงกันว่าเราจะสลับกันเป็นเชฟเมนูอะไรก็ได้ตามแต่ที่ของมี ซึ่งในคืนแรกเราจัดเมนูสปาเก็ตตี้ ไข่เจียวและหมูอบ รสชาติออกมาดีเลยที่เดียวหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกเราหิว เรานั่งสนทนาถึงการเดินทางมาและโชว์อุปกรณ์ในการออกแค้มปิ้งของแต่ละคนที่เตรียมมารวมถึงเสื้อกันหนาวของแต่ละคนที่เริ่มหยิบออกมาสวมใส่กันท่ามกลางอากาศเริ่มเย็นลงหลายคนเริ่มหยิบโทรศัพท์มาดูอุณหภูมิเพื่ออวดกัน อุณหภูมิอยู่ที่19-20 องศา เรามาช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากบทสนทนาเริ่มน้อยลงก็เริ่มแยกย้ายกันไปเข้านอนตอนประมาณ 5 ทุ่มในเต็นท์ของแต่ละคนภายใต้ถุงนอนอุ่นๆจากอากาศภายนอกที่เย็นลดลงอีก เราสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่มาเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยก่อนที่เราจะเข้านอนได้ความว่าที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ 25 องศา แต่ก่อนนอนในค่ำคืนนี้เราสรุปได้ว่าน้ำหนาวสมชื่อจริง ๆ สิ่งที่ไม่ควรพลาดในการออกมาใช้ชีวิตในกลางแจ้งคือการตื่นตอนเช้าเราสำรวจพื้นที่โดยรอบของอุทยานและเพื่อมาดูแสงของพระอาทิตย์ในตอนเช้าเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นด้วยแสงในยามเช้าที่อุณหภูมิ19 องศา เราปลุกเต็นท์ข้าง ๆ ด้วยเสียงของเคาะกระทะการทำอาหารและกลิ่นที่หอมของกาแฟอาหารเช้ามื้อนี้พวกเรากินดีกว่าตอนอยู่บ้านเสียอีก หลังจากเราเติมพลังแล้วกิจกรรมที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวที่นักท่องเทียวที่ไม่ได้มากางเต็นท์ก็สามารถเข้ามาได้คือการเดินป่าเพื่อสำรวจธรรมชาติมีทั้งระยะใกล้และไกล พวกเราเลือกระยะใกล้เนื่องจากเราเริ่มเดินช้าเจ้าหน้าที่กลัวว่าจะเดินกลับมาไม่ทัน อุทยานมีค่าธรรมเนียมในการเก็บค่าเข้าอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท จักรยาน 10 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท รถยนต์ 30 บาท สิ่งที่ได้จากการมาแค้มปิ้งในครั้งนี้คือการได้เรียนรู้ “การพึ่งพาตนเอง” ทำให้นึกถึงการออกไปเข้าค่ายสมัยเรียนวิชาลูกเสือ ได้ชื่นชมธรรมชาติ ได้มิตรภาพจากคนรอบข้าง อาจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้พวกเรามีสุขภาพกายและใจที่ดีเพิ่มขึ้นจากการออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง