12 - 19 ตุลาคม 2563 จะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่เราจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต เพราะในช่วงนั้น เราได้เดินทางด้วยรถไฟจากเพชรบุรี แล้วขึ้นไปที่สถานีเชียงใหม่ สถานีที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย และลงไปสถานีที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย อย่างสถานีสุไหงโก-ลก แต่ทุกๆ การเดินทาง ก็ย่อมมีจุดเริ่มต้นของมัน บัณฑิตที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ที่มาพร้อมกับเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) พยายามจะหางานทำ แต่ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มีการจ้างงานน้อยลง แต่โชคยังดี ที่ยังได้งานชั่วคราวจากกระทรวงนึงของรัฐบาล โดยมีระยะเวลางานประมาณ 3 เดือน และกอปรตัวเราเองเป็นคนที่ชอบการเดินทางด้วยรถไฟ จากการโดนป้ายยาจากกลุ่มเยาวชนที่เคยได้ร่วมงาน แล้วเกิดติดใจ จากที่เมื่อก่อนการเมื่อก่อนจะไปหาคุณปู่ที่กรุงเทพฯ จะต้องไปด้วยรถตู้ แต่ด้วยการที่สายใต้เกือบทั้งหมด ไปจอดที่ขนส่งสายใต้ ถ.บรมราชชนนี ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเข้าเมือง เราจึงเลือกการเดินทางรถไฟตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช้าไปเยอะ แต่สะดวกกว่า หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก เราจึงเกิดนึกสนุก อยากนำเงินเดือนแรกที่ได้ มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ (แหม!! อยากจะแหมตัวเองไปยังช่องแคบมะละกา) ด้วยการนำเงินก้อนนนี้ มานั่งรถไฟ แต่ด้วยบ้าพิลึกกึกกือของตัวเราเอง ที่จะทำอะไรผิดมนุษย์มนาเสมอๆ แรงบันดาลใจของทริปนี้ เราขอยกความดีความชอบ ให้กับโครงการก้าวคนละก้าว ของพี่ตูน Bodyslam ที่วิ่งจากเบตง ไปแม่สาย แต่ด้วยสรีระที่พร้อมให้แพทย์ดูดไขมันได้เต็มที ไอ้ครั้นจะให้วิ่ง ก็คงจะไม่ไหว เราจึงขอนั่งรถไฟ ไปสถานีเหนือสุดลงไปสถานีใต้สุด อย่างเชียงใหม่ และสุไหงโก-ลก จากนั้นจึงได้ประกาศกร้าวต่อเพื่อนๆ ใน Facebook (ยกเว้นแม่ และญาติฝ่ายแม่) และเพื่อเป็นเกียรติต่อแรงบันดาลใจ เราจึงตั้งชื่อให้คล้าย(ที่จริง คือล้อเขาเลยแหละ)กับโครงการก้าวคนละก้าว ด้วยชื่อทริปว่า "นั่งวันละขบวน เพื่อความสุขของกูเอง" แต่ด้วยชื่อที่ยาวพอๆ กับถนนเพชรเกษม (นี่ก็เกินไป) หลังๆ จึงเหลือแค่ #นั่งวันละขบวน การเดินทางในครั้งนี้ เราศึกษาจากหลายๆ อย่าง ทั้งจากหนังสือ และวารสารจากการถไฟฯ ที่มักให้หยิบฟรีตามสถานี ตารางเวลาเดินรถของทั่วประเทศ สถานที่ที่เที่ยวใกล้สถานีรถไฟปลายทางแต่ละที จากนั้นจึงเริ่มวางตารางการเดินทางตามใจตัวเราเอง โดยมีปลายทางดังนี้ 1. กรุงเทพฯ (จุดที่ต่อรถไฟจากเหนือและใต้ โดยมีสถานีกรุงเทพ(หัวลำโพง) และสถานีชุมทางบางซื่อ) 2. อยุธยา (เคยไปกับครอบครัว และทัศนศึกษา ก็หลายครั้ง แต่การไปคนเดียวนี่คือครั้งแรก) 3. ลพบุรี (เคยไปแต่ชมทุ่งทานตะวัน กับเขื่อนป่าสักฯ แต่ในเมือง นี่ก็คือครั้งแรก) 4. พิษณุโลก (ครั้งแรก) 5. เชียงใหม่ (ครั้งแรก) 6. แพร่ (ครั้งแรก) 7. ฉะเชิงเทรา (เมื่อไปกับครอบครัวบ่อยมาก เพราะเมื่อก่อนบ้านอยู่เขตหนองจอก ใกล้นิดเดียว แต่ไม่เคยไปคนเดียว จนมาอยู่เพชรบุรี) 8. ชุมพร (ครั้งแรก แต่แค่รอรถไฟไปหาดใหญ่) 9. หาดใหญ่, สงขลา (เคยนอนรถไฟ แล้วไปหาพ่อมาแล้ว แต่ครั้งนี้คือตัวคนเดียว) 10. สุไหงโก-ลก, นราธิวาส (ครั้งแรก) การเลือกนั่งรถไฟในทริป เราพยายามนั่งรถไฟให้มีประเภทที่หลากหลาย ทั้ง ธรรมดา ชานเมือง ท้องถิ่น เร็ว ด่วน ด่วนพิเศษ โดยจะหนักไปทาง ธรรมดา ชานเมือง ท้องถิ่น เสียส่วนมาก เพื่อประหยัดงบได้อีกนิดนึง บทสรุปของทริปนี้คือการนั่งรถไฟภายใน 9 วัน 11 จังหวัด(รวมเพชรบุรี) 15 ขบวน ในงบประมาณ 8,500 บาท หลังจากนั้น ก็ได้ไปซื้อของเพื่อเตรียมสำหรับการเดินทาง ผ่านทางแอปฯ Shopee เป็นส่วนใหญ่ โดยค่อยๆ ทยอยซื้อ และรอโปรโมชั่น พวก Flash Sale เลขวันตรงกับเลขเดือน โดยที่ซื้อมาใช้ในทริปมีทั้งหมด 9 อย่าง หมดไปหลายพันเลยแหละ แฮะๆ หลังจากนั้นจึงโทรไปที่ 1690 call center ของการรถไฟฯ เพื่อโทรจองรถด่วนพิเศษที่ 32 "ทักษิณารัถย์" ซึ่งเป็นขบวนที่กลับมาที่เพชรบุรี และเป็นขบวนเดียวที่จอง เพราะขบวนอื่นๆ คือการซื้อวันต่อวัน อันเนื่องมาจากที่เรารู้ถึงสรรพคุณของรถด่วนขบวนนี้ ว่าเต็มเร็วมาก เราจึงรีบจองตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง และยิ่งอยากนอนเตียงล่าง ต้องรีบจอง จึงรีบจอง แล้วไปรับตั๋วที่สถานีเพชรบุรีในอีกวันถัดมา หลังจากที่ทำงานครบตามกำหนดสัญญา ขั้นตอนสำคัญที่สุด นั่นคือการไปบอกกับคุณแม่ถึงการเดินทางครั้งนี้ แต่การบอกของเรา โคตรจะกระชั้นชิดสุดๆ นั่นคือ 2 วันก่อนการเดินทาง (ไปวันจันทร์ บอกคืนวันเสาร์ และตอนที่แม่ใกล้นอนแล้วด้วย) ด้วยความที่เราก็โตแล้ว และมันก็ไม่ได้ดูนักหนาอะไรสำหรับเรา เราคิดว่าเอาตัวรอดได้สบายๆ แต่แม่ก็ก็คือแม่แหละ ก็ยังเห็นเราเป็นเด็กอยู่เสมอ หลังจากที่เราบอกกับแม่ไป เรากลายเป็นคนผิดศีลข้อ 2 และเกือบๆ จะข้อ 1 ตามหลักพุทธศาสนาเต็มๆ เพราะเราทำให้คุณแม่บังเกิดเกล้าของเรา เกิดอาการนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย (อ่ะ..พอ..เดี๋ยวครบเพลงพอดี) ว่าเรานะ แต่ไม่ถึงกับด่า แต่การที่เราบอกกับแม่อย่างกระชั้นชิด เราก็อยากพิสูจน์ว่า เราก็ทำมันได้ (แต่เราเองก็นอนไม่หลับนะ) แต่แม่ก็โกรธเราถึงเช้าวันถัดมา แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมเรา แต่ก็ต้องแลกด้วยกฎของแม่ นั่นคือ แจ้งทุกเวลา ไม่ว่าอยู่ไหน (ซึ่งเราเองโคตรไม่ชอบเลยอ่ะ เหมือนติดบ่วง แต่ก็ต้องทำเนาะ) ซึ่งปัญญานั้นหมดไป เพราะเองก็โพสต์ทุกๆ อย่างที่ได้เจอระหว่างการไปเที่ยว แม่ก็รู้ และได้อวดชาวบ้านด้วย 555 หัวค่ำของวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 เราจึงเสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่างๆ จัดใส่กระเป๋าสีดำใบใหญ่ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 2 ครึ่ง แล้วหลับตานอน เพื่อเตรียมตัวนั่งรถไฟขบวนแรกของทริป... โปรดติดตามตอนต่อไป - - - - - - - - - - #StandaRoam #ยืนหยัดเที่ยวเฟี้ยวคนเดียว