ถ้าพูดถึงจังหวัดเพชรบุรีหลายคนคงนึกถึงทะเลไม่ก็สถานที่ตั้งแคมป์ดังตามรีวิว แต่ไม่ใช่กับเราที่โหยหาความสงบและพักใจจากความวุ่นวายจากเมืองกรุง โดยเป้าหมายที่เราเลือกในการเดินทางครั้งนี้อยู่อำเภอเขาย้อย วิวเขาอีโก้ และที่มาของทริปนี้คือ เราเจอเพจเฟสบุ๊คของฟาร์มสเตย์ตั้งแต่เริ่มเปิดเพจพอดีกับมีเวลาหลังเรียนจบและสถานการณ์โควิด 19 ผ่อนคลายลง เราจึงตัดสินใจเริ่มออกเดินทางคนเดียวครั้งแรกทันที :)ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับนักเดินทาง สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเลือกใช้รถมินิบัสขนส่งสาธารณะจากสถานีขนส่งเอกมัยไป ปั๊ม ปตท.วังมะนาว 2 (ที่่ใหญ่ที่สุดในโลกกกกกก) **คำเตือนห้ามลงปั๊มแรกนะ ผิดแน่นอนเพราะเราลงมาแล้ว5555** ซึ่งตอนแรกที่ลงผิดจุดหมายทำเอาเราใจไม่ดีคิดว่าแค่เริ่มก็ผิดพลาดแล้ว แต่นับว่าโชคดีมากที่เจอพี่เจ้าของฟาร์มสเตย์ที่น่ารักทั้งสองคนช่วยทำให้คนที่คิดลบแบบเราเริ่มมองโลกอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่ซับซ้อน ผิดก็บอกผิดและคราวนี้จะจำสิ่งที่ถูกต้องได้ขึ้นใจ เวลา 12.00 น. ประโยคคำถามจากพี่เจ้าของฟาร์มสเตย์ซึ่งถามเราว่า “ กินข้าวยัง ?” ชวนให้เราแปลกใจเล็กน้อยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการท่องเที่ยวที่ผ่านมาความสบายและความส่วนตัวที่พบเจอย่อมต้องแลกกับการไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวซึ่งเรื่องเหล่านั้นเป็นปกติทั่วไป โดยตอนแรกเราตอบกลับไปว่าจะหาของกินระหว่างรอ แต่ด้วยการลงผิดปั๊มกลับทำให้เราได้ร่วมโต๊ะอาหารกับคนแปลกหน้าและกล้าเปิดบทสนทนาพูดคุยกัน สำหรับอาหารมื้อเที่ยงนี้ฝากท้องกับ ‘หลงเตี๋ยว บิสโทรแอนด์คาเฟ่ เขาย้อย’ เมนูที่เลือก คือ กะเพราเนื้อราดข้าวร้อนๆกับน้ำเก็กฮวยเย็นชื่นใจเป็นร้านอาหารวิวสวนบรรยากาศร่มรื่นปิดท้ายด้วยไอศครีมแบรนด์ท้องถิ่น ( เพราะทำไอศครีมส่งขายบริเวณใกล้เคียง) รสชาตินมสดสรอว์เบอร์รี หวาน หอมเหมาะกับอากาศที่ร้อนจัดของวันนี้มาก เมื่อท้องอิ่มก็มีแรงพร้อมออกเดินทางไปที่จุดหมายที่แท้จริงของเรา นั่นก็คือ เฮือนฮิมเขา ฟาร์มสเตย์ และสิ่งที่ดึงดูดสายตาแรกเป็นป้ายที่เขียนว่า " ระวังหมาดุ " พร้อมกับรูปภาพน้องสุนัขพันธุ์บางแก้วนอนหงายท้องน่าเอ็นดูทำให้เราคิดว่าจะสนิทกับน้องได้ง่าย แต่ความจริงนั้น.... แค่เราก้าวเท้าลงจากรถและสบตากับน้องนิดเดียว ด้วยสัญชาตญาณน้องเริ่มเห่าจนพี่ที่ดูแลแนะนำให้เราเข้าทางด้านหน้าบ้านซึ่งมีวิวเขาธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก แนะนำอยากให้มาลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง สวนผักกับวิวเขาความลงตัวในธรรมชาติ กิจกรรมแรกของเรา คือ การทำความรู้จักกับน้องหมูสองตัวซึ่งมีชื่อว่า สันในและสันนอก โดยให้น้องได้เล่นน้ำเพื่อคลายร้อนและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราโดนหมูขวิด 55555 แต่น้องไม่ได้ดุร้ายนะถ้าให้เปรียบเทียบคงเหมือนกับการทำความรู้จักและแปลกใจกับคนแปลกใหม่ เราใช้เวลากับตรงนี้ไม่นานนักและด้วยอากาศที่ร้อนทำให้ต้องรอเวลาจนกว่าจะถึงสี่โมงเย็นถึงจะออกไปเก็บผักที่สวนได้ ระหว่างนั้นเราได้ทำความรู้จักกับน้องหมาทั้ง 3 ตัว โดยแต่ละตัวชื่อ เพชร พลอยและเป็ดน้อยในช่วงแรกต้องนั่งอยู่เฉยๆ และปล่อยให้น้องๆได้ดมกลิ่นเพื่อสร้างความคุ้นเคย ( ตัวจะเกร็งๆหน่อย 5555 ) ในสามตัวนี้เราเข้ากับเพชรได้ตัวแรกจากนั้นเป็นเป็ดน้อยส่วนพลอยน้องจะหวงบ้านซึ่งเราเข้าใจได้ จึงพยายามไม่กวนหรือเข้าใกล้ในพื้นที่ที่น้องอยู่ดีที่สุด ขอแอบถ่ายหน่อยนะ หลังจากพักผ่อนและพักสายตาเพื่อรอให้ความร้อนจากแสงแดดคลายลง เวลาประมาณ 4 โมงเย็น บรรยยากาศเริ่มจะเย็นจนครึ้มเหมือนฝนจะตกซึ่งนั่นทำให้เราใจไม่ดีเพราะหลังจากเก็บผักจากสวน จากนั้นจะไปปีนเขาอีบิดที่รอคอยและเป็นสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด และเหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะพื้นที่ที่เราจะขึ้นไปนั้นไม่มีฝน แต่อุปสรรคต่อมา คือ ระหว่างทางขึ้นไปบนเขานั่นเอง คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ออกกำลังกายและนักปีนเขา ส่วนคนที่ไม่ค่อยขยับแบบเราโดนสูบพลังไปพอสมควรด้วยความชันและหินที่พร้อมจะล่วงหล่นทุกเมื่อ ในทางกลับกันยังดีที่มีเชือกให้พอเป็นที่จับและช่วยพยุงตัวให้เดินไปได้ ซึ่งการปีนขึ้นเขาใช้เวลานานพอสมควรเพราะความเหนื่อยล้าทำให้ต้องหยุดพักเป็นระยะพร้อมกับความคิดที่ว่าว่าเรามาทำอะไรที่นี่นะ 55555 แต่เมื่อนึกถึงวิวและความสวยงามที่รอให้ขึ้นไปชื่นชมจึงทำให้มีแรงสู้ต่อจนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกคุณค่าของความอดทนและมุ่งมั่นของตัวเอง เสร็จจากการปีนเขาถึงเวลาอาหารเย็น เราชอบที่นี่ คือ ให้แขกที่เข้าพักมีส่วนร่วมทุกกิจกรรมให้ความรู้สึกเหมือนครอบครัว เช่น อาหารมื้อนี้เราได้ช่วยหั่นผักและดูขั้นตอนการทำอาหาร ได้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและสูตรอาหารใหม่ๆรวมถึงรสชาติที่ไม่คุ้นเคย แต่บอกได้ว่าอร่อยมากๆจนต้องขอสูตรไปลองทำเองที่บ้าน สำหรับชีวิตการวางแผนเป็นเรื่องที่ดีแต่การท่องเที่ยวถ้าออกนอกแผนบ้างนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและได้ประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เหมือนกับการไปเยือนสถานที่ไหนให้ซึมซับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นนั้น คล้ายกับสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม การที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจากตรงกับสถานการณ์ของเรา ณ ตอนนั้น จากการชักชวนของพี่เจ้าของฟาร์มสเตย์ให้ลองไปงาน งาน พระนครคีรี - เมืองเพอชร ปี 2566 ซึ่งเปรียบได้กับงานกาชาดมีทั้งของกิน เสื้อผ้า และการแสดงพลุรวมถึงติดไฟตกแต่งสถานที่สว่างไสวสวยงาม แปลกตาภาพถ่ายมุมไกลที่ไกลมาก หลังจากเดินชมภายในงานและซื้อของฝากเรียบร้อยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมง และอีกยี่สิบนาทีเดินทางกลับถึงที่พักกว่าจะอาบน้ำและเก็บของเสร็จเข้านอนเป็นเวลาสี่ทุ่มตรง เรานอนดูกลุ่มดาวบนท้องฟ้าพร้อมกับความเงียบถูกเสียงแมลงแทรกเข้ามาแต่กลับไม่ทำให้รู้สึกรำคาญอีกทั้งอากาศยังเย็นสบายต่างกับช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิงชวนให้เคลิ้มและหลับไป เป็นธรรมชาติบำบัดที่คนกรุงส่วนมากต้องการในยุคสมัยนี้ เวลาความสุขมักผ่านไปไวเสมอสำหรับมื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวไก่เทอริยากิกับไข่ดาวแสนอร่อย ก่อนกลับได้บอกลาน้องหมาทั้งสามตัวและคิดว่าถ้าอยู่หลายวันน่าจะสนิทกันมากกว่านี้ สำหรับการเดินทางกลับเราติดรถพี่เจ้าของที่พักไปด้วยเนื่องจากพี่มีธุระที่กรุงเทพซึ่งอยู่แถวที่เราต้องการจะไปพอดี ระหว่างนั่งบนรถเรานั่งมองวิวริมข้างทางชวนให้นึกถึงการเดินทางที่แสนสั้นครั้งนี้ การได้ลองทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนทำให้ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ที่ลืมไม่ลง ขอบคุณตัวเองที่เริ่มออกค้นหาสิ่งรอบตัว ขอบคุณวันนั้นที่ได้เจอเฮือนฮิมเขา ฟาร์มสเตย์ ขอบคุณพี่ๆที่ดูแลอย่างดีได้ใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวแนวคิดใหม่ๆ เราชอบคำพูดหนึ่งของพี่เจ้าของฟาร์มสเตย์ ที่ว่า ด้วยความเป็นกันเองและไม่มีช่องว่างระหว่างเจ้าของที่พักกับผู้เข้าพัก ฟาร์มสเตย์แห่งนี้เมื่อได้มาแล้วจะต้องกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเราจะเป็นหนึ่งในคนที่กลับมาอีกแน่นอน สุดท้ายและท้ายสุด แล้วเจอกันเมื่อฤดูหนาวมาถึงนะ....เฮือนฮิมเขา ฟาร์มสเตย์ ปลายพู่กัน.ค่าเดินทางสถานีขนส่งเอกมัย-ปตท.วังมะนาว2 140 บาทค่าที่พัก+อาหารเช้า เย็น 700 บาทสนใจติดต่อสอบถามข้อมูลที่พัก https://www.facebook.com/profile.php?id=100069870436319ภาพปกโดย ปลายพู่กัน : Canva.comภาพทั้งหมดโดย ปลายผู้กันอยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !