โอน (ต่อ) 4.2 การโอนสิทธิเด็ดขาดของทรัพย์สินทางปัญญา กับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทั่ว ๆ ไป จะโอนไม่พร้อมกัน จากตัวอย่างในข้อ 4.1 ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์สินที่ติดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น รถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ เรา – ในฐานะผู้ซื้อ จะได้กรรมสิทธิ์ในตัวรถ แต่สมรรถนะแบบเครื่องยนต์ และยี่ห้อรถหรือตราที่ติดหน้ารถ เราไม่มีสิทธิจะยุ่งวุ่นวายในตราดังกล่าว เช่น ถ่ายภาพยี่ห้อและนำไปพิมพ์ทับลงบนเสื้อผ้า เพื่อเพิ่มมูลค่าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า มิได้ ดังนั้นการที่เราออกไปตามตลาดนัด หรือถนนคนเดิน เห็นเสื้อผ้าที่มีตราสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าใด ๆ ก็ตาม ใจหนึ่งจะคิดว่าดูเท่ห์ แต่อีกใจหนึ่งโปรดระลึกว่ามันผิดกฎหมายนะครับ! ยกตัวอย่างกระเป๋าแบรนด์ดัง ๆ ที่ตั้งขายในราคา 199 บาท คุณอาจจะมองว่าก็ของแท้ซื้อไม่ได้มันแพง เลยตัดสินใจซื้อของปลอมจะได้ดูหรู เท่ กับเขาบ้าง แต่ถ้าคุณนึกถึงจิตใจคนที่ผลิตสินค้าแต่ละชิ้นขึ้นมา มันต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเท่าไหร่ กว่าจะได้ของมาสักชิ้น ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา แต่มีคนบางกลุ่มเห็นช่องทางจากการทำกำไร บนความพยายามของผู้อื่น มันมีเหตุผลอะไรที่เราควรจะสนับสนุนของปลอม จริงอยู่ในฐานะผู้บริโภค ของถูกย่อมดึงดูดใจอยู่แล้ว สมมติคุณเป็นติ่งดาราเกาหลี แล้วมีคนมาดูถูกดาราที่คุณปลื้ม หรือพยายามลดคุณค่าของดาราหรือสาวก 100 ทั้ง 100 คงโต้ตอบกลับแน่นอน เฉกเช่นดียวกัน เมื่อคุณเป็นสาวกของสินค้าแบรนด์ดัง ความภักดีในแบรนด์ย่อมต้องมีด้วย แถวบ้านเรียก brand royalty เมื่อใครก็ตาม เห็นสินค้าที่ตนรักตนชอบ นำไปแขวนไว้ในสถานที่ที่ลดคุณค่า เขาย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความไม่พอใจเพราะความภักดีของเขาถูกลดทอนลง นอกจากชื่อเสียงของแบรนด์สินค้าจะเสียหาย ความภักดีของลูกค้าย่อมกระทบด้วย ฉะนั้น การซื้อของที่ต้องไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่ากระทำ และผิดกฎหมายด้วย แม้ว่าคุณจะอ้างว่าของมันถูก แต่ในทางกลับกันผู้ผลิตไม่มีสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะได้รับค่าตอบแทนจากความวิริยะอุตสาหะเลยหรือ? ถ้าเป็นแบบนี้เราคงจะไม่มีคนกล้าที่จะคิดอะไรใหม่ ๆ เพราะคิดไปก็จะมีคนนำไปหาประโยชน์อยู่ดี หรือ ความพยายามมีค่าเท่ากับศูนย์ – มันเหนื่อยนะตัวเธอ ซึ่งต่างจากคุณนำเมล็ดส้มไปปลูกเอง รดน้ำเอง ดูแลเอง นักเลงพอ ที่คุณต้องลงมือลงแรงในระยะเวลาหนึ่ง ๆ แต่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามันใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า เช่น การสำเนาหนังสือโดยไม่ได้รับอนุญาต ลองพิจารณาว่ากว่าจะมาเป็นหนังสือสักเล่ม ผู้เขียนต้องใช้ความพยายามขนาดไหน กว่าจะได้องค์ความรู้ และนำมาถ่ายทอดเป็นตำรา แม้ว่าแค่เพียงไอเดีย หรือความรู้ยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ อ้างอิงโดย http://ipthailand.go.th/th/faq/item/ไอเดีย-แนวคิด-กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองหรือไม่.html จนกว่าไอเดียดังกล่าวจะได้แสดงออกมา ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น นำความรู้มาแต่งหนังสือ ซึ่งกฎหมายจะคุ้มครองตัวหนังสือ แต่ความรู้ที่บรรจุอยู่ในหนังสือ ไม่คุ้มครอง มิฉะนั้น การผูกขาดความรู้จึงไม่น่าจะถูกต้องนัก เพราะท้ายที่สุดสังคมเราก็ต้องใช้ความรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ถ้ากฎหมายยอมให้ใครก็ได้ผูกขาดความรู้ เห็นทีเราอาจต้องลดจำนวนนักเรียน-นิสิต-นักศึกษาเหลือชั้นเรียนละ 1 คน ปัญหาจะเกิดทันทีว่าความรู้ที่ผู้สอนมี และได้รับการถ่ายทอดไปยังผู้เรียน ใครมีสิทธิดีกว่ากันพอเถอะ กล่าวกันมาซะยืดยาว (ควรพอ มิฉะนั้น งานวิจัยจะไม่มีอะไรให้เขียน) จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ลักษณะของทรัพย์สินทางปัญญาแม้จะถือเป็นทรัพย์สิน อันเป็นผลมาจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของมนุษย์ แต่ด้วยสภาพมันจะมีความแตกต่างกับทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไป ดังที่ผมได้อธิบายมา จึงเป็นเหตุให้กฎหมายไทยจึงต้องบัญญัติแยกต่างหาก ออกมาจากประมวลกฎหมายแพ่ง-พาณิชย์ เพราะความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นการหวงกัน ที่เราสามารถทำได้กับทรัพย์สินทั่ว ๆ ไป แต่ทรัพย์สินทางปัญญาที่ตั้งอยู่บนข้อมูล มันหวงกันลำบากมากกว่า ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา จะห้ามมิให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ ห้ามทำซ้ำ แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือออกหากำไร โดยไม่ได้รับความยินยอม หากใช้เพียงกฎหมายทั่วไป การกระทำดังกล่าวก็น่าจะทำได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ – จำหน่าย จ่าย โอน หรือแสวงหาประโยชน์ใด ๆ ยกตัวอย่าง คุณซื้อหนังสือมา 1 เล่มแล้วตั้งเป็นห้องสมุดรายวัน ปล่อยให้เช่าต้นฉบับ มันจะฟังแล้วชอบด้วยประเภทหนึ่ง แต่กลับกัน การปล่อยให้เช่าต้นฉบับ เสมือนไปลดรายได้ของผู้ประพันธ์ และ/หรือสำนักพิมพ์นะครับ ดังนั้นบทความที่ผมเพียรเขียนนอกจากมุ่งให้ความรู้จากประสบการณ์โดยตรง/อ้อม ผมเพียงอยากกระตุ้นให้ผู้อ่านพึงตระหนักด้วยว่า กว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร เป็นประโยค มันมีต้นทุนนะครับ มันไม่ได้เกิดมาเองตามป่าตามเขา ดังนั้น ถือว่า #เตือนก่อน ถ้าจะรวบรวมบทความผมไปขายสำนักพิมพ์ อย่าทำเพราะพูดจริง ๆ นะครับ คุณจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะผมเตือนแล้ว!Trust me I am a lawyerเตือนแล้วนะท้ายนี้ขอบพระคุณภาพ1. ปก : Clever Visuals / Unsplash2. ภาพที่ 1 : starline / freepik 3. ภาพที่ 2 : pikisuperstar / freepik 4. ภาพที่ 3 : drobotdean / freepik 5. ภาพที่ 4 : freepik / freepik